Rocketman วง r&b สุดอบอุ่นจากค่าย Rats Records อีกหนึ่งศิลปินไทยที่ไม่เคยหยุดเดิน ด้วยฝีมือที่ไม่เป็นรองใครและดนตรีที่มีเสน่ห์น่าฟัง แม้จะต้องสะดุดกับช่วงโรคระบาดไปบ้าง แต่พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรก Sunshower ที่อยากให้ทุกคนได้ลองฟัง เพราะกลั่นมาจากการเดินทางที่ฝ่ามาเป็นร้อยฝนเพื่อจะพบแสงอาทิตย์ในเช้าวันใหม่
Transmission วันนี้ พวกเขาจะมาเจาะลึกถึงทุกแทร็กในอัลบั้มว่าเบื้องหลังของมันสนุกขนาดไหน กว่าจะออกมาเป็นเพลงที่อ่อนโยนอบอุ่นหรือเศร้าเคล้าน้ำตาได้ขนาดนี้ พร้อมทำความรู้จักกับมิตรภาพของพวกเขา ก่อนจะไปฟัง Sunshower ด้วยกัน
สมาชิก Rocketman
มัท—ปณิธาน ชัยอักษรเวช [ร้องนำ]
ปอน—ณัฐณิชา สุนทร [กีตาร์]
นัท—ปาณัสน์ มีบุญเอนก [กีตาร์]
ขวัญ—ชญาณ์ณัฎฐา หาญปริพรรณ์ [คีย์บอร์ด]
“Sunshower” Track by Track
Orange Coffee
มัท: เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วย Orange Coffee จะมีเพลงไหนเปิดหัว album ได้ดีไปกว่าเพลงที่มีเสียง good morning y’all ตั้งแต่เริ่ม เพลงนี้มาในรูปแบบ pop funk ดีดๆเหมาะสำหรับการเต้น ส่วนเหตุผลที่เลือกกาแฟส้มเพราะว่าตอนที่แต่งเป็นช่วงที่กำลังติดทำกาแฟส้มกินทุกเช้า มีอยู่วันนึงกินกาแฟเสร็จไปอาบน้ำละก็ได้เสียงเป็นท่อนฮุค “Wake up baby. You’re my orange coffee” พอได้ท่อนนี้ก็เอาไปแต่งไปพัฒนาต่อ เพลงนี้จะเน้นให้เบสเป็นตัวดำเนินเรื่อง เนื่องจากอยากมีเพลงที่มี lick bass เป็นแกนหลักของเพลงบ้าง ซึ่งในเพลงจริงเราก็ให้ Pound (Parattakorn) มาอัด เพิ่มสีสันกับลูกเล่นเข้าไปอีกจากไลน์เบสหลัก มีซาวด์ดีไซน์เสียงเคาะปาก ทำเสียงเลียนแบบเครื่องสาย เสียงดีเลย์ต่าง ๆ อยู่ในเพลง ใจความหลัก ๆ ก็คือ “whatever you wanna pursue just go and get it”
ปอน: fun fact เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ปอนหัดเล่นเบส มันดิ้นขนาดนี้ใครจะอดใจไหว ขอบคุณมัทที่คิดสิ่งนี้ขึ้นมา
Saturday Morning
มัท: “พอเช้าวันหยุดก็ขอตื่นสายหน่อย” เพลงนี้พูดถึงเช้าวันเสาร์ที่เราได้ใช้เวลาพักผ่อนกับคนที่รัก ดนตรี laid back beat มีความดีดสนุกเล็กน้อย ตัวเพลงมีการ hint ถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น “Hi Vincent!” แมวหูเดียวที่เข้ามาอยู่ที่บ้านแฟนเราในจังหวะที่เราเริ่มคุยกันพอดี เสียงเขย่าแก้ว สิ่งที่ชอบที่สุดในเพลงนี้คงเป็นการที่เราได้ paint the scene with words จนบางทีก็รู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเหมือนไดอารี่เล็ก ๆ ของเราเลย
I’m okay
มัท: มีสุขก็ต้องมีเศร้าเนอะ เพลงนี้มาในจังหวะที่เราพึ่งรู้ว่าเราจะเรียนไม่จบในโควต้า 4 ปี เนื่องจากไม่ได้เชคให้ดีว่าหน่วยกิตไม่ครบ ซึ่งด้วยความที่เราเป็นนักเรียนทุนเท่ากับว่าปีที่เกินมาเราต้องจ่ายค่าเทอมเต็มร้อย ช่วงนั้นก็พยายามรู้สึกไม่เครียดอะไร ช่างมันเพราะว่าก็อย่างน้อย ๆ เราก็แค่ต้องไปเรียนอีกแค่ 2 วิชาเองนะ หน่วยกิตไม่เยอะมากค่าใช้จ่ายยังพอไหว ดีหน่อยว่าตอนนั้นเราเริ่มทำงานมาซักพักแล้วก็ยังพอจ่ายค่าเทอมค่าหน่วยกิตได้ จนมามีวันนึงกำลังขับรถกลับบ้าน เราก็ฮัมออกมาว่า “I thought I graduated but I’m not” really a bad joke (หัวเราะ) ตอนนั้นก็รู้สึกตลกแต่ก็คิดกับตัวเองเหมือนกันว่าจริง ๆ เราคงเครียดกับเรื่องนี้แหละมันถึงได้วนเวียนในหัวเราอยู่ แต่ก็ไม่อยากร้องเพลงเกี่ยวกับการเรียนไม่จบไปตลอดชีวิตเลยขอแก้เป็น “I thought I was okay but I’m not” ละกัน เป็นการยอมรับความรู้สึกตัวเองที่ไม่โอเค กลับมาโอบกอดความเจ็บปวดแล้วเดินหน้าต่อน่าจะดีกว่า คิดว่าน่าจะ relatable ได้กันทุกวัย เพลงนี้ก็กึ่ง ๆ เป็น hip hop มากขึ้น มี sound design ซ่อนอยู่ยิบยับ แต่ความภูมิใจที่สุดคงเป็น guitar solo ของเพลงนี้ครับ อารมณ์แบบไม่รู้จะพูดไรโซโล่เลยละกัน (หัวเราะ)
Fool Me
ปอน: จริง ๆ เป็นเพลงที่ปอนแต่งส่งอาจารย์ตอนเรียน แต่เอามาเรียบเรียงใหม่ ซึ่งเวอร์ชั่นแรกไม่ใช่แบบนี้เลยค่ะ (หัวเราะ) ตัวดนตรีค่อนข้างมีความเก่าพอสมควร ส่วนเนื้อเพลงก็เป็นเพลงแรกของปอนเหมือนกันที่แต่งแล้วมี f word ซึ่งมันก็มาจากอารมณ์ในตอนนั้นว่าเราผิดหวังกับความรัก รู้สึกเหมือนโดนหักหลังจากคนที่เราไว้ใจมาก ๆ เนื้อเพลงก็มาจากประสบการณ์ตรงเลยค่ะ โดยเฉพาะ verse2 ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราโง่มากจริง ๆ
ขวัญ: ขอบคุณคุณปอนคนแต่ง เพลงนี้เป็นเพลงแรกของวงเราอย่างเป็นทางการ แถมยังมีท่อนให้คีย์บอร์ดได้ solo กรุบกริบ ถือว่าเป็นอีกเพลงหนึ่งที่เล่นแล้วรู้สึกเรามีบทบาทมาก ทั้งท่อนแรกที่คียบอร์ดมาเดี่ยวตามด้วยกีตาร์เท่ ๆ จบไปถึงท่อน brigde ที่ได้โชว์เมโลดี้สวย ๆ
Tremblin’
มัท: เป็นเพลงแรกที่มัทแต่งหลังจากที่ Rocketman ได้เข้าค่าย เป็นเพลงที่เรารู้สึกว่า romantic แต่หลายๆคนอาจจะตีความเป็นเพลงเศร้าก็ได้ รู้สึกสนุกดีกับการที่เพลงมันก็ตีความได้หลายมุมตามความรู้สึกผู้ฟัง ตอนที่เริ่มทำงานกับเพลงนี้จริง ๆ เราก็ยังงง ๆ กับอะไรหลายๆอย่างอยู่ ตอนนั้นก็มีพี่อ๊อฟ พี่วิน พี่สอง มาช่วยดู element ดนตรีให้ โจทย์สำคัญน่าจะเป็นช่วงท้ายที่เป็น saxophone solo ซึ่งกว่าจะมาลงเอยที่ choice นี้ ก็คิดอยู่นานมาก ซึ่งแปลกมากเพราะว่าพออัดเสร็จแล้วก็รู้สึกว่า I couldn’t hear it any other way ขอบคุณพี่เจิ้นที่มาเติมเต็มใน part นี้ครับ
ปอน: เป็นเพลงแรกที่เข้าไปอัดแล้วทุกคนอึนมากค่ะว่าจะใส่อะไรเพิ่มดี เพราะตัวเพลงค่อนข้างเครื่องน้อย แต่สุดท้ายเราก็เลือกว่าจริง ๆ แค่นี้มันก็พอแล้ว
นัท: ผมอ่านเนื้อครั้งแรกคือเขินเลย นึกภาพตามแล้ว romantic มาก
ขวัญ: รู้สึกว่าเพลงนี้น้อยแต่มาก เป็นเพลงที่มีเสน่ห์ในตัวมันเอง ส่วนในพาร์ท saxophone เป็นจังหวะที่มัทอยากลองใส่แซกเข้าไปช่วงท้าย เราเลยโทรเรียกพี่เจิ้น(ที่ตอนนั้นอยู่บ้านที่บางใหญ่)ให้มาอัดเลย ขอบคุณจังหวะชีวิต ณ ตอนนั้น (หัวเราะ) เป็นอะไรที่ดีมาก ๆ ในเพลงนี้ ยิ่งตอนเล่นสดฟีลดีสุด ๆ พอมีแซกเข้ามา
Loved You Wrong feat. Upim LANDOKMAI
มัท: อุปสรรคคล้าย ๆ กับ Tremblin’ แต่เป็นขั้นกว่า เพลงนี้ก็เป็นการขอโทษคนที่เรารักเพราะว่าบางครั้งเราก็อาจจะลืมแคร์ความรู้สึกของคนที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดไป องค์แรกของเพลงจะเป็นการขอการให้อภัย ส่วนองค์สองจะเป็นการที่อีกฝ่ายให้อภัยและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ตอนที่เขียนเพลงนี้องค์แรกนี่ใช้เวลานานมาก เป็นวัน ๆ กว่าจะเขียนเสร็จ แต่องค์สองกลับสามารถเขียนได้ภายในไม่กี่นาที แต่องค์สองก็มีความยากกว่าองค์แรกตรงที่ต้องหาคนมาร้องนี่แหละครับ กว่าจะมาเจออูปิมเราก็แทบจะถอดท่อนนี้ออกจากเพลงนี้แล้ว พออูปิมมาร้องก็เหมือนกันกับ Tremblin’ เลยครับ I couldn’t hear it any other way
ขวัญ: ตอนได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกคือตกหลุมรักพาร์ทหลังมาก ๆ ถึงขั้นลอง cover เล็ก ๆ ลองร้องเองแล้วก็พบว่าร้องยากมาก ต้องแบ่งวรรคการหายใจดี ๆ เลย แต่เสียงน้องอูปิมมาร้องตรงนี้คือมันลงตัวสุด ๆ ต้องเป็นน้อนอูปิมเท่านั้น
Try, Try, Try
มัท: ตัวแทนของเสียงฝนตกและฟ้าคำราม เพลงนี้เกิดจากการไล่สเกล D ลงมาที่ F#m พูดถึงความรู้สึกหวาดกลัวต่อชีวิตกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามา เหมือนพายุฝนที่โหมกระหน่ำ และท้ายที่สุดเราก็สร้างความกล้าที่จะพูดกับฟ้าคำรามนั้นให้ตกลงมาที่เราได้เลย จะเป็นยังไงเราก็พร้อมจะรับมัน fun fact เสียงหยดน้ำในเพลงมาจากก๊อกน้ำบ้านเรารั่วละมีโถข้าวรองน้ำไว้พอดี พอได้ยินเสียงเลยเอามือถือไปอัดไว้แล้วมาใส่ในเพลงนี้ กับเป็นเพลงแรกที่ลองทำ solo guitar แบบมีไลน์ประสาน ประโยคที่เราชอบที่สุดก็คือ “Paint yourself with palette from someone else. Afraid to fill the colour you’ve bought for yourself”
ปอน: เพลงนี้เป็นเพลงที่ปอนชอบสุดในอัลบั้มนี้ค่ะ ทุกครั้งที่เล่นหรือฟังเราจะรู้สึก fulfilled มาก ๆ ยิ่งเวอร์ชั่นเล่นสดแบบ full band ต้องไปฟังให้ได้ซักครั้งจริง ๆ ค่ะ
นัท: สำหรับผมเป็นเพลงสุดท้ายเลยที่เข้าไปสตู
ขวัญ: ชอบพาร์ทกีตาร์โซโล่มาก รู้สึกตรงนี้ต้องใช้ ensemble skill สุด ๆ (หัวเราะ) ต้องหายใจพร้อมกันเลย
Lost Film
มัท: เพลงที่เกิดจากตลกร้าย ตอนที่เราจะขายเสื้อ Rocketman รุ่นแรกสุด เราเอาเสื้อรุ่นสีแดงไปถ่ายกับแฟนที่ The Street ใช้กล้องฟิล์มคนละตัว พอถ่ายเสร็จก็เอาไปให้ร้านล้าง สรุปตอนไปรับได้กลับมาแค่ม้วนเดียวคือม้วนที่แฟนเราถ่าย เรียกว่าเพลงนี้เป็นตัวแทนความรู้สึกแค้นอยู่ในใจละกันครับ วันที่ไปขายเสื้อที่ Cat T-Shirt ตอนเดิน ๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงเพลง “Lost film, I’ve lost you the lost film” ก็เก็บเอาไว้ในใจไม่ได้อัดเสียงไว้เพราะตอนนั้นอยู่กับคนหลายคน พอเวลาผ่านไปซักพักเราก็ยังได้ยิน melody นี้อยู่ก็เลยเอามาแต่งต่อ demo 1 คือ version ที่หงุดหงิดและโกรธอยู่ครับ มันออกมาแบบค่อนข้างเกรี้ยวกราด พอได้เปิดให้นัทฟังเราก็รู้สึกว่าเออยังไม่ใช่เลยไปแก้มาใหม่ ใส่ประเด็นใหม่เข้าไปให้มันรู้สึก soft ลงละก็เปลี่ยนวิธีการร้องใหม่ให้มันดูสนุกขึ้น กับทำดนตรีให้สนุก เพลงนี้เป็นเพลงที่สนุกมากตอนคิดไลน์ guitar เป็นช่วงร้อนวิชาพึ่งได้ไปเรียนกับพี่ก้อง H3F มา บวกกับเพลงนี้จะมี setting guitar แปลก ๆ ตอนที่เราอัดเราใช้ plugin ใน logic แล้วเราใส่ตัว wah แต่ปกติ wah มันต้องเหยียบขึ้นเหยียบลงแต่เราทิ้งมันไว้แบบเหยียบขึ้นทั้งเพลง ท้ายสุดนี้ก็ยังตามหาฟิล์มม้วนนั้นอยู่นะครับ แต่ถ้าใครบังเอิญได้ไฟล์จากม้วนฟิล์ม Fuji c200 นั้นก็ส่งมาให้เราได้นะครับ (หัวเราะ)
ปอน: และจากความร้อนวิชาของมัทนั้น ทำให้เป็นเพลงที่ปอนหงอทุกครั้งที่ต้องเล่น (หัวเราะ) ไลน์โซโล่จริง ๆ ของเพลงทุกวันนี้ยังแกะไม่เสร็จเลยค่ะ
Holding On (to me)
มัท: เพลงที่อยากให้เป็นทาทายัง เพลงนี้เริ่มขึ้นมาจากตอนที่โควิดหนัก ๆ ทุกคนไม่สามารถออกไปเจอกันหรือออกไปที่ไหนได้เลย ก็เขียนเพลงนี้ออกมาเพื่อเป็นตัวแทนว่าไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ยังมีกันอยู่นะ Just one blink we’re two worlds apart. เรารู้สึกว่าพริบตาเดียวเองนะ แล้วเราก็ต้องอยู่ห่างกันแล้ว เป็นเพลงที่เนื้อร้องกับทำนองมาพร้อมๆกันเลย พาร์ทดนตรีตอนแรกที่ร้อง Holding on on on on ตอนท้ายเราตั้งใจให้นึกถึงทาทายัง “รบกวนมารักกัน” แต่ไป ๆ มา ๆ พอได้หยิบเพลงนี้ขึ้นมาทำใหม่ + กับได้เสียง Julian Cary มามันก็พาเพลงนี้ไปอยู่อีกจุดนึงที่เราชอบมาก ๆ
Sun
มัท: เพลงที่ถูกดองไว้นานที่สุด ถ้าเป็นไวน์ก็คงบ่มจนเข้าที่แล้ว เป็นเพลงที่เราเขียนตั้งแต่ก่อน Saturday Morning เพลงที่เปรียบเทียบคนที่เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องความเศร้าในใจเราออกไป จังหวะ laid back แบบขั้นกว่าเพราะท้าย ๆ เพลงกลองตีไม่ตรงแล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเสียง sample, strings and piano. เริ่มจาก sample มาจากเพลงคืนใจของ สาวสาวสาว ตอนที่เขาไปออกรายการจันทร์กระพริบ โดยจะมีสองส่วนคือส่วนเพลงที่เราเอามาตัดใหม่ใน Intro กับส่วนพูดช่วงสัมภาษณ์ที่ใส่ไว้ตอน instru เป็น element ที่ส่วนตัวเรา เหมือนได้พาทุกคนกลับไปตอนที่เป็นวัยตกหลุมรักครั้งแรก ซึ่งส่วนนี้ก็ต้องขอบคุณทางรถไฟดนตรีที่อนุญาตให้เราได้ใช้เสียงนี้ด้วยครับ ส่วน strings ก็เป็นอีกส่วนที่แก้กันมันส์มาก เนื่องจากตอนแรกเราอัด strings แบบกด midi ในคอมมา พอส่งให้ปอนดูก็พบว่ามีพลาดหลายจุด 555 แบบอย่าง cello มันเล่นเสียงสูงเท่านี้ไม่ได้นะมัท (หัวเราะ) ก็ให้ปอนช่วยดูตรงนี้ กับนอกจาก strings midi แล้วก็ยังมี violin ที่ขวัญอัดเข้าไปอีกด้วย เพื่อให้รู้สึกสัมผัสได้ถึงเครื่องสายจริงๆมากขึ้นกับ piano ที่ขวัญอัด เพลงนี้ก็ทำให้ได้คิดถึงภาพรวมของเพลงมากขึ้น เช่นท่อนนี้ ถ้า guitar เล่นแบบนี้ piano เล่นแบบนั้นมั้ย เพื่อให้มันสอดประสานกันพอดีไม่ตีกัน เป็นเพลงที่เรารักมาก ๆ และก็เป็นหัวใจหลักของ album
ขวัญ: รักเพลงนี้สุด ๆ รักมาก รักตลอดไป ขอบคุณมัทรอบที่พันล้านที่ทำเพลงนี้ออกมาได้ตรงใจฉันเป็นอย่างมาก ทุกอย่างคือถูกต้องไปหมด (หัวเราะ) รู้สึกดีใจและภูมิใจกับเพลงนี้มาก ๆ ทุกครั้งที่ฟังก็เหมือนย้อนกลับไปวันที่ได้อัดเพลงนี้ ถึงจะใช้เวลานานแต่มันคุ้มค่ามาก ๆ ต่อมาคือพาร์ทเครื่องสาย ชอบใจใหญ่เลยได้หยิบไวโอลินมาเล่น ถึงจะไม่มากแต่ก็มีความสุขสุด ๆ มัทก็เขียนโน้ตสตริงเก่งนะ เขียนมาซะสูงเลย (หัวเราะ)
มารวมตัวกันได้ยังไง
มัท: เริ่มจากการตั้งวงมัธยมไปประกวดในโรงเรียนครับ ตอนแรกจะมีมัทกับนัทกับเพื่อน ๆ ในวงตอนนั้น ส่วนปอน มัทชวนมาเข้าวงตอนช่วงม.6 ใกล้เข้ามหาลัยละ เป็นช่วงที่เริ่มจริงจังกับสายดนตรีมากขึ้น ซึ่งจริง ๆ ปอนก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนประถมแล้ว ส่วนขวัญ มัทชวนเข้ามาช่วงมหาลัยปี2-3 ตอนนั้นมัทไปเรียนต่อยมวยละเจอเพื่อนมัธยม ซึ่งเป็นเพื่อนขวัญด้วยเลยได้เจอกัน ส่วนตัวมัทก็พอรู้จักขวัญอยู่บ้างตั้งแต่มัธยมว่าขวัญเล่นไวโอลินกับเล่นเปียโนด้วย ก็เลยชวนมาเข้าวงครับ timeline ค่อนข้าง Inception ประมาณนึง (หัวเราะ)
ชื่อ Rocketman มาจากไหน หรือเป็นความหลงใหลใน Elton John
มัท: จุดเริ่มต้นจริง ๆ ก็มาจาก Elton John นี่แหละครับ แต่ไม่ใช่จากการที่เรารู้จักเขาหรือรู้จักเพลงเขามาก่อน จริง ๆ ก็ต้องขอบคุณ youtube algorithm ตอนนั้นที่เรากำลังจะหาชื่อวง พอเรากลับบ้านไปเปิด youtube เพลง Rocket Man ของ Elton John ก็เด้งขึ้นมา เรารู้สึกชอบคำนี้มาก อยากให้เพลงของเราได้ส่งออกไปนอกอวกาศเหมือนกับนักบินอวกาศที่ต้องนั่งจรวดออกไป
ปอน: ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ปอนอยากเปลี่ยนชื่อวงค่ะ เพราะซ้ำเยอะเหลือเกิน
มัท: มันเป็นปัญหาเหมือนกันนะความที่ชื่อวงเราซ้ำ อย่างช่วงแรก ๆ ที่เพลงเราลง streaming เพลงเราก็เด้งไปอยู่ศิลปินอื่น ๆ ที่ชื่อเดียวกันอะไรแบบนี้ครับ ถ้าให้แนะนำก็คือเลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับชื่อซ้ำ (หัวเราะ)
ทำไมถึงเลือกชื่ออัลบั้มแรกของตัวเองว่า Sunshower
มัท: อยากให้มันสื่อสารถึงความหลากหลายทางอารมณ์ในอัลบั้มนี้ครับ Sunshower มันคือปรากฏการณ์ที่ฝนตกตอนที่แดดออก เหมือนกับหลายๆครั้งที่ชีวิตก็มีเรื่องดีเรื่องร้ายปนๆกันไป ที่สำคัญอีกอย่างที่อยากสื่อคือการ coming of age ระยะเวลาการทำอัลบั้มนี้มันประมาณ 4-5 ปี กว่าจะผ่านมาถึงตรงนี้เราก็ผ่านกันมาหลายๆอย่างเหมือนกัน ได้เรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้น ต้นไม้จะเติบโตอย่างงดงามได้ก็ต้องผ่านฝนผ่านแดด เหมือนคนที่ต้องผ่านเหตุการณ์ดี ๆ ร้าย ๆ ต่าง ๆ เพื่อเติบโตอย่างงดงามเช่นกัน
Try, Try, Try กับ Sun ที่ออกมาพร้อมอัลบั้ม ดูโดดเด่นออกมาจากเพลงอื่น ๆ มาก กระบวนการทำเพลงต่างกับเพลงก่อนหน้านี้ยังไง
มัท: Try คิดว่าคงเป็นมู้ดที่เย็นที่สุดในอัลบั้มแล้ว เนื่องด้วยเซทบรรยากาศจากเสียงหยดน้ำหรือกระทั่งเสียง Rhodes ที่ใส่ Fx อีก ส่วนเพลง Sun คิดว่าคงเป็นที่เครื่องสาย ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ทำเพลงที่ใช้เครื่องสายจริง ๆ มาก่อนเลย มี Saturday Morning ที่ใช้คล้าย ๆ เสียงเครื่องสายแต่จริง ๆ เป็น mellotron กับความพิเศษอีกอย่างคือเสียง sample ภาษาไทยในเพลง ทำหน้าที่ทาง aesthetic พาผู้ฟังย้อนเวลากลับไป
ปอน: เพราะเป็นเพลงที่ทั้งวงเราเข้าสตูทำกันเองค่ะ ทำเอง แก้เอง งมกับมันอยู่ด้วยกันในพาร์ทที่มัทเว้นไว้ค่ะ
นัท: ผมว่าทั้ง2เพลงเอามาทำช่วงเดียวกันด้วยครับ Sun คือนานจนต้องมาปรับกันใหม่555
ขวัญ: คิดว่าเพราะสองเพลงนี้กระบวนการทำงานมันอยู่ในช่วงยุคหลังแล้ว ช่วงยุคหลังโควิดมาแล้วประมาณนั้น ความแตกต่างจากเพลงอื่น ๆ เลยเห็นได้ชัด
แนะนำเพลงไหนในอัลบั้มที่เหมาะจะฟังในวันที่ฝนตก
มัท: Try, Try, Try, Loved You Wrong, Tremblin’, Fool Me น่าจะเป็นตัวแทนของฝั่งเพลงฝนตกในอัลบั้มนี้ครับ ส่วน Orange Coffee, Saturday Morning, Sun เป็นตัวแทนของฝั่งแดดออกเผื่อวันไหนแดดมาจะได้ฟังฝั่งนี้ ส่วน Lost Film, Holding On น่าจะอยู่ตรงกลางระหว่างแดดกับฝนพอดีๆครับ
ปอน: เรามี Tremblin’ version feat. ฝนตก ด้วยนะคะ ลองไปหาฟังกันได้ค่ะ
ขวัญ: Loved You Wrong รู้สึก mood เข้ากับฝนปรอยๆในความคิดเรา
นัท: ตามนั้นเลยครับ หยอก ๆ 5555 ถ้าผมคงฉีกเลยเป็น Saturday Morning ถึงไม่ได้ออกไปไหนแต่ก็อบอุ่นดีครับ
วงดูมาแรงมากตั้งแต่ก่อนโรคระบาด เราเสียโอกาสไปแค่ไหนช่วงนั้น
มัท: ไม่แน่ใจว่าแรงแค่ไหน (หัวเราะ) ช่วงที่ปล่อย Orange Coffee ก็มีคนสนใจติดต่อมา เกี่ยวกับการไปเล่นโชว์ต่างประเทศช่วงนั้นเหมือนกัน แต่ก็ติดโควิด ด้วยการเดินทางทำได้ยากก็เลยไม่เกิดขึ้น แต่ในเรื่องร้ายก็ยังมีเรื่องดีอย่างแผ่นเสียง Orange Coffee ที่มีทาง Typical Records จากญี่ปุ่นสนใจที่จะทำ เลยทำให้มีแผ่น single vinyl Orange Coffee ออกมาวางขายได้ ที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือได้คุณ Hiroshi Fujiwara ทำ remix เพลงนี้อีกด้วย (Orange Coffee Slumber Mix.)
ปอน: มากถึงมากที่สุดค่ะ เป็นช่วงที่เป็นครั้งแรกที่วงจะได้ไปเล่นตามงานต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วโดนยกเลิกทุกงาน เรียกได้ว่าเฟลหนักมาก แต่ข้อดีก็คือทุกวันนี้กลายเป็นคนปลงไปแล้วค่ะ (หัวเราะ) ทุกอย่างมันคงเป็นเรื่องของ timing ค่ะ
นัท: จริงช่วงนั้นคือเหมือนฟังข่าวร้ายรายวัน ก็ไม่ขนาดทุกวันหรอก (หัวเราะ) งานค่อย ๆ ยกเลิกไปเรื่อย ๆๆ จนหมดทุกงาน แต่ช่วงที่ปล่อย Lost Film ก็มีคนมาติดตามวงเพิ่มนะ น่าจะอารมณ์อยากกลับไปเที่ยวกัน ความรู้สึกส่วนตัว (หัวเราะ) ตอนนั้นคืออยากออกไปเที่ยวไม่ไหวแล้ว ลองไปฟังดูผมว่ามีกลิ่นทะเลอยู่
เราได้เรียนรู้อะไรจากแก็ปตรงนี้
มัท: the importance of timing เราค่อนข้างทิ้งช่วงระหว่างการปล่อย single ต่อ single นานมาก ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่ Orange Coffee เป็นต้นมาทุกเพลงก็เสร็จแล้วหมดแล้วแหละครับ แต่ก็ด้วยโควิดด้วย เลยทุกให้ทุกอย่างล่าช้าไปอีก ขณะเดียวกันการที่เพลงที่เสร็จแล้วถูกทิ้งช่วงนานเลยทำให้พอใกล้จะได้ปล่อยเพลงนั้น ๆ จริง ๆ เราก็กระทำการ modified มันใหม่ตามตัวตนเราที่ก็ค่อนข้างเปลี่ยนไป ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าได้ปล่อยเพลงแบบต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็นจริงๆนั้นจะเป็นยังไง
ปอน: ช่วงโควิดตอนนั้นปอนไม่ได้ก้าวเท้าออกจากบ้านไปไหน 3 เดือนเต็ม ๆ ค่ะ เพราะทั้งงานวงและงานอื่นหายหมดเลย ออกมาจากบ้านอีกทีเหมือนอยู่ต่างโลก เลยทำให้ตระหนักได้ว่าทุกอย่างมันไม่มีอะไรแน่นอนจริง ๆ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะค่ะถ้าไม่เดือดร้อนคนอื่น หรือถ้าไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำค่ะ (หัวเราะ) คนเราไม่ต้องมีอะไรทำตลอดเวลาก็ได้ เหนื่อยก็พัก มีแรงก็ไปต่อ
นัท: จริง ๆ ผมก็รู้สึกเสียดายโอกาสช่วงโควิดเหมือนกัน ตอนนั้นทุกอย่างหยุดนิ่งดูเครียดไปหมด ตอนนั้นผมทำงานประจำ ถ้ากล้ากว่านี้สักหน่อยคงได้ทำอะไรได้มากกว่านี้ อาจจะดีขึ้น ไม่ก็แย่ลง (หัวเราะ) น่าจะช่วยทำอะไรได้มากกว่านี้ พอทุกอย่างผ่านไปแล้ว โอกาสที่เห็นก็หายไปด้วย แต่ตอนนี้ผมก็โอเคครับ ผิดแผนไปบ้าง อย่างที่ปอนพูดเลย มีอะไรที่อยากทำ ทำเถอะครับ ถ้าทำแล้วมีความสุขและไม่กระทบใคร เอาเลย ผมเอาใจช่วย
ขวัญ: พอเรามีเวลาว่างมากขึ้น กิจกรรมหรือสิ่งที่เราอยากทำมานานแล้วไม่ได้ทำ เราก็ได้ทำในช่วงนั้น เหมือนกับว่าเรามีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น รวมถึงการปล่อยเพลง ทำให้รู้สึกว่าเราจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปไม่ได้แล้วนะ ถ้ามีโอกาสอะไรดี ๆ ก็อยากจะคว้าเอาไว้ให้หมดค่ะ
สเต็ปต่อไปของวง
มัท: มุ่งหน้าเอาเพลงในอัลบั้มนี้ไปเล่น live ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปอน: จริง ๆ ยังไม่ได้ plan จริงจังค่ะ แต่ถ้าให้ตอบแบบส่วนตัวคืออยากแมสค่ะ
ขวัญ: อยากได้เล่น live ใหญ่ ๆ มีโอกาสเจอผู้ฟังใหม่ ๆ มากขึ้น
นัท: ใช่ ๆ อยากเล่น live อีกเยอะ ๆๆๆ เลย รอติดต่อมาอยู่นะครับ (หัวเราะ)
ฝากถึงคนที่ยังไม่ได้ฟังอัลบั้ม Sunshower
มัท: ก็อยากให้ลองฟังดูนะครับ ถึง 80% ของเพลงใน album นี้จะถูกปล่อยมาเป็น single ก่อนหมดแล้ว 55 แต่การได้ลองฟังทุก ๆ เพลง in one sitting มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างเหมือนกันนะ อยากให้ลองดูครับถ้ามีเวลา
ปอน: นอกจากเพลงแล้วอยากให้เสพ artwork ข้างในด้วยค่ะ รูปภาพได้พี่บุ้ค มาถ่ายให้ ส่วนการจัดเรียงทุกอย่างถูกบันดาลโดยสมาชิกคนที่ 5 ค่ะ พี่ฝนผู้เป็นทุกอย่าง
ขวัญ: ระวังจะตกหลุมรักหลาย ๆ เพลงในอัลบั้มนี้!
ติดตามพวกเขาได้ทาง Facebook และ Instagram
ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา