เวลานี้ทุกคนน่าจะได้ฟัง ‘Take It Easy’ เพลงใหม่ของ Réjizz กันไปแล้ว ซึ่งในเพลงนี้เขาก็ได้ชวน Fiendsh และ SUBNET มาขับกล่อมอารมณ์ละมุนในเพลงแรกในฐานะศิลปินเบอร์ล่าสุดของค่ายสุดฉีก Crazy Mondae
แต่ก่อนหน้านี้เขาคนนี้มีผลงานน่าสนใจปล่อยออกมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลงานตอนเป็นศิลปินอิสระช่วงที่เขายังเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปจนถึง EP และอัลบั้มที่นิยามความหมายใหม่ให้แร็ปไทยก้าวไปอีกระดับ รวมถึงได้ร่วมแสดงในเวทีชั้นนำทั้ง Maho Rasop Experience ร่วมกับ BBNO$, RAMENGVRL, DAJIM และได้แสดงใน ASEAN Music Showcase Festival 2021 มาแล้ว
มารู้จักแร็ปเปอร์ม้ามืดคนนี้ให้มากขึ้นกับการเดินทางบทใหม่ของเขาที่อาจจะดิบซ่าน้อยลง แต่สุขุม เติบโต และพูดเรื่องส่วนตัวมากขึ้น ในบทสัมภาษณ์ Transmission ชิ้นนี้ได้เลย
“ผมอยากทำเพลงเพราะชอบแร็ป ผมฟัง EMINEM เพลง ‘Love the Way You Lie’ แล้วรู้สึกว่า ทำไมคนนี้เขาอารมณ์เข้มข้น แบบที่เรารู้สึกได้ แล้วผมไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นคนขาว ผมเลยลองไปฟังแร็ปมากขึ้น มี YouTuber คนนึงชื่อ Timothy DeLaGhetto เป็นคนไทย แล้วก็เป็นแร็ปเปอร์ที่อเมริกา เขาโคตรเก่งเลย แล้วเขาไปอยู่ในรายการ Wild ‘n Out มันก็เปิดโลกผมมาก ช่วงนั้นผมกับเพื่อนก็ดูรายการนี้ ฟังฮิปฮอป แล้วก็เริ่มฟรีสไตล์ที่โรงเรียน เป็นงั้นมาตลอด เขียนเนื้อเพลง เขียนแร็ปในห้องอัด จนมี iPhone ก็ลองอัดเพลงเล่น ๆ ให้เพื่อนฟัง พอเพื่อนบอกว่าเริ่มโอเคขึ้นก็ทำอย่างนั้นมาประมาณ 2-3 ปี ลองโปรดิวซ์ใน GarageBand อัดเพลงส่งให้คณะ เพราะทุกปีจะมีละครเวที แล้วก็จะมีโปรเจกต์ที่ให้ส่งเพลงมารวมใน compilation เพลงประกอบละครเวทีปีนั้นได้ เพลงชื่อ ‘โรตี’ ทุกคนชอบกันแล้วก็ค่อนข้างแปลกใจ เพราะปกติเพลงละครนิเทศมันจะคิ้วท์ ๆ แล้วอยู่ดี ๆ มีฮิปฮอปมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็ชอบครับ
“ปีต่อมาผมก็ทำอีกทุกคนชอบกัน ปีสุดท้ายอยากลองทำดี ๆ ครั้งนึง ผมทำเพลงชื่อ ‘Last Stop’ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เพลงนั้นเป็นเพลงที่ทำให้มีคนมาเจอและพาทัวร์ร้านเหล้า คืนละ 3 ที่ แล้วมันเป็นครั้งแรกที่ได้จับไมค์ มันใหญ่แบบเฟสติวัล แล้วพี่เขาให้ผมขึ้นไปแร็ป 16 บาร์ (หัวเราะ) ในบีต ‘Still D.R.E.’ อะ โห มันตื่นเต้นที่สุดในชีวิตเลย ซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าขนาดยังไม่ได้ทำเก่งขนาดนั้น แล้วถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ มันจะเป็นยังไง”
Flow Dojo คืออะไร
เป็นชื่อกลุ่มของพวกผมครับ ตอนแรกสุดคือผม Rhymekhamhaeng แล้วก็ Zeedox เรียนด้วยกันตอนมัธยม แต่สองคนนั้นเขาทำเพลงด้วยกันมานานมากแล้ว แล้วพอมาอยู่มหาลัยเขาก็หาแร็ปเปอร์ จะใครก็ได้ มาจอย ผมก็ทักจารย์ไรห์มไป ‘เฮ้ยจำผมได้ป่าว’ เขาก็บอก ‘ลืมมั้ง มาจอยกัน’ แล้วก็ทำ EP ลง Soundcloud ทำมาเรื่อย ๆ มี ซี ผม จารย์ แล้วก็ซีไปรู้จักพี่จี Lepyutin กับแจ๊คกี้ Alec Orachi แล้วก็มีเจฟฟรี Zambug, Philo P, Big Few ที่มาจอยกับพวกผมด้วย
เคยคิดจะทำเป็นแบบ Brockhampton เลยไหม
ตอนนี้ผมมีโปรเจกต์นึงของผมจะอยู่ใน EP ชื่อ ‘Lost MCs of BKK’ ผมมีสตูดิโอที่บ้าน จะมีเซสชันทุกวัน ทำบีตสด ๆ แล้วเขียนเพลงกัน ใครว่างวันนั้นก็มาอัด ให้มาแร็ป 16 บาร์ เหมือนตอนนี้ทำไป 11 เพลง อันนั้นน่าจะใกล้สุดแล้วในความเป็น collective แล้วก็มีทำ EP กับ Zeedox มี 8 เพลงแล้ว เป็นฟังก์ ฮิปฮอป สนุกดีเป็นเพื่อน ๆ กัน ไม่ว่าจะอินดี้ ร็อก คนทำโปรดักชัน ช่างภาพ มารู้จัก มาเจอกัน ทุกคนเจ๋งมาก ใครออกอะไรมาก็ซัพพอร์ตกัน แต่ถ้าให้ทำด้วยกันเลยมันก็ค่อนข้างยาก
‘Origins’ and ‘No Dreamer’
ตอนนั้นเป็นศิลปินอิสระ เพื่อนผมที่ชื่อฌอน aka SS FLO ช่วยผมทำบีตใน EP ‘Origins’
พอปล่อยไปแล้วโควิดก็หนักขึ้น เจอใครไม่ได้ ก็เลยต้องสอนตัวเองทำบีต พอทำเป็น ก็ทำอัลบั้มชื่อ ‘No Dreamer’ ซึ่งผมแค่คิดว่าอัลบั้มนี้จะเป็นชุดที่ทำให้คนรู้ว่าผมแร็ปเก่ง มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่จัด ๆ เพราะมันก็มีอยู่แล้ว แค่เอาสิ่งนี้ นี้ นี้ มารวมกัน ซึ่งผมว่า ถ้ามีการนำเสนอที่ถูกต้อง ยังไงก็มีคนฟัง มีคนรู้จักมากขึ้น แต่สิ่งที่คิดได้อย่างนึงคือ แร็ปเก่งแล้วทำไม ทุกคนรู้แล้วยังไง ถ้าไม่มีเพลงฮิต ดังนั้นการปล่อยอัลบั้มนี้ก็คือความตั้งใจที่จะทำให้เพลงมันมีความแมสมากขึ้น แต่ว่ายังมีตัวตนที่ชัดเจนอยู่ครับ
ตัวตน?
ทุกเพลงยังมีแร็ป ไม่ทิ้งไป แต่มีเมโลดี้ที่สวยมากขึ้น คนร้องตามได้ง่ายขึ้น แล้วเรื่องที่พูดในอัลบั้มนี้จะเกี่ยวกับความรัก ซึ่งผมว่าน่าจะเชื่อมโยงกับทุกคนได้มากกว่าการบอกว่าผมเป็นแร็ปเปอร์ที่เก่งสุด ไม่อยากให้คนติดภาพแค่เป็นแร็ปเปอร์ แต่ทำเพลงอื่น ๆ ได้ด้วย อยากออกไปทางฝั่งอินดี้ มีความโฟกัสดนตรีมากขึ้น
ทำไมถึงใช้ชื่อว่า ‘Moscato’
มันคือไวน์รสชาติหวานที่แฟนผมชอบกิน แฟนผมย้ายไปเรียนโทที่ออสเตรเลีย แล้วทำงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารอิตาเลียน เมนูดริงค์ที่เขาชอบที่สุดคือ Moscato ผมก็ได้ลองไปชิมที่นั่นแล้วชอบ เลยเอามาตั้งชื่อ
คอนเซ็ปต์
สิ่งที่ผมพูดถึงมันเปราะบางมากขึ้น เอาจริงตอนที่ผมทำเสร็จก็ไม่มั่นใจ ผมเขินกับสิ่งที่ผมพูดถึง มันเผยความรู้สึกเยอะเกินไป สุดท้ายก็หายเขินเพราะตอนไปเปิดให้คนอื่นฟังคนก็บอกว่ามันดี (หัวเราะ) ผมแค่คิดมากแหละ ไม่เคยทำ แล้วผมร้องเพลงเยอะด้วยในอัลบั้มนี้ ไม่ค่อยร้องเยอะขนาดนั้นมาก่อน
ผมว่าคอนเทนต์ที่พูดถึงมันส่วนตัวมาก ๆ ผมพูดถึงความรักที่อยู่ไกลออกไป ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และกำลังใช้ชีวิตแบบไม่มีเขาอยู่ด้วยใกล้ ๆ เป็นครั้งแรก กำลังเล่าว่ามันเป็นยังไง แต่แทร็คแรกเหมือนพูดว่า ทำยังไงเราถึงจะไม่ต้องไกลกันแบบนี้ แต่แทร็คสุดท้ายมันจะแบบ อยู่กับมันได้แล้ว เราโอเค ยอมรับกับความเป็นจริง
ความยากของการทำงานชุดนี้
แต่งเมโลดี้ครับ ตอนแรกมีเวอร์ชันที่ผมร้องฮุกเอง แล้วผมให้แจ๊คกี้ฟัง มันบอกยังไม่ได้ว่ะ มันมีเอเลเมนต์ที่โอเคนะ แต่มันยังไม่ได้ ผมก็แบบ ‘งั้นคุณโชว์ให้ผมดูหน่อยดิว่าที่มันได้มันต้องเป็นยังไง’ ก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ อีกสิ่งคือทำใน GarageBand มันเหมือนเป็นเวอร์ชันฟรีของ Logic คือรายละเอียดของเสียง สมมติ side chain compressor หรือ reverb detail มันจะมี surface level ของทุกอย่างจำกัด ต้องใช้หูกะเอา ยาก แต่มันก็เทรนให้ผมมีการฟังที่ดีขึ้น
มาอยู่ Crazy Mondae แล้วเป็นยังไงบ้าง
ผมเห็นเพื่อน ๆ ผมที่อยู่ที่นี่ Alec Orachi, Lepyutin เห็นทางเขาไปดีก็เลยลองดู ตอนนั้นมี EP อีกอันที่พร้อมพิตช์ให้ค่ายนี้พอดี ก็เลย perfect timing ตัว ‘Moscato’ ก็เสร็จมาประมาณนึงแล้ว พอเข้าค่ายก็มีคนช่วยพุชไปอีกระดับนึง อย่างมีคนมาช่วยโปรดิวซ์แล้วก็พวกเบส MD ตอนนี้ก็ใช้เบสจริงแล้ว มีกีตาร์เพิ่ม มีพวก element ที่ผมทำคนเดียวไม่ได้เพิ่มเข้ามา
เวทีต่างประเทศที่เคยได้เล่น
ตอนนั้นได้เล่น Maho Rasop Experience #2 แล้วก็ ASEAN Music Showcase ออนไลน์อีเวนต์ ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันดีนะ แต่กลับมาคิดเยอะเลย ก็รู้สึกว่าผมน่าจะใส่ใจมากกว่านี้
ตอนนั้นยังทำงานบริษัทผมเลยไม่ได้โฟกัสกับเพลงมากพอ ตอนมีเวลาก็พยายามหาทางทำให้เล่นสดมันดี ผมก็ทำเวอร์ชัน performance ในลำโพง Marshall ของผมตัวเดียว มันไม่ใช่มอนิเตอร์ที่เหมาะเอามาทำอะไรแบบนี้ดังนั้นคุณภาพซาวด์มันจะสู้ RAMENGVRL, Dajim หรือ BBNO$ ไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครมาช่วยเรื่อง sound quality, show design หรือ prop ดีเจผมก็หาเอง ตอนขึ้นไปมันก็คือแค่ผม แล้วเปิดแทร็ค แร็ป ผมเน้น performance ปิดเสียงตัวเองตอนร้อง แล้วแร็ปสด ๆ แต่มาคิดได้ว่าคนอื่นเขาเปิดเสียงร้องตัวเองด้วย เน้นเอนเตอร์เทนมากกว่าสกิล พอเห็นงี้เลยรู้สึกว่า MHRS EXP ไม่ใช่มาดูว่าคนนี้แร็ปดี แต่เหมือนคนมาปาร์ตี้ มาสนุก ผมก็คิดว่าน่าจะทำมาผิดวิธี คนอื่นเจ๋งมาก ขนาด BBNO$ จำเนื้อตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เน้นเต้น เน้นสนุก ก็เข้าใจแล้วว่าอีกหน่อยต้องเป็นยังไง
มันเป็นการทดสอบที่ใหญ่มากของผม RAMENGVRL, Dajim เขามีประสบการณ์เป็นร้อยเป็นพัน แต่อันนี้เป็นแร็ปโชว์ที่เป็นชื่อผมคนเดียวที่ขึ้นไป มันเหมือนเทสต์เลย ตอนนั้นทำงานไปด้วยก็ยังไม่ใช่แร็ปสตาร์ ยังเป็นคนธรรมดาทำงาน 9-5 แต่วันก่อนที่ผมไปโชว์ ผมตัดสินใจลาออกจากงานเพราะพรุ่งนี้มีโชว์สำคัญที่สุดอันนึงในชีวิต แต่ตอนออกรู้สึกเป็นการออกที่ยังไม่สมบูรณ์เพราะยังทำงานนี้ได้ไม่ดีที่สุด การขึ้นเวทีนั้นเลยเหมือนรู้สึกว่าถูกยั้งให้ไม่ได้เป็นตัวเอง 100% เต็มศักยภาพ แต่ถ้าผมได้โอกาสอีกครั้งนึงผมจะทำให้ดีขึ้น
สิ่งที่ได้เรียนรู้หลังจากเลือกเปลี่ยนสายมาทำเพลง
ตอนจบมาทุกคนเขาก็ทำงาน marketing agency ไม่ก็ดูแบรนด์ product ทุกอย่างเกี่ยวกับที่เรียนมา แต่ผมอยากแร็ปอะ มันไกลจากสิ่งที่ผมเรียนมาก แล้วผมไม่มั่นใจกับตัวเองว่าเรามาทางที่ถูกต้องไหม จนผมไปคอนเสิร์ต ไปคุยกับคนที่อยู่ในวงการมากขึ้น เขาก็พูดว่า มันคือสิ่งที่เขารัก ไม่ใช่สิ่งที่สังคมบอกให้เขาเป็น ไม่ว่าเขาจะออกไปทำงานหาตัง 6 เดือน ยังไงเขาก็จะกลับมาทำเพลง ตอนนี้เขาอายุ 30 กว่าแล้ว เพลงก็ยังทำให้เขาไปต่อ มันทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ว่ามันจะอีกกี่ปี ยังไงผมก็อยากกลับมาทำเพลง ถึงจะแวะไปทำงานออฟฟิศมา แต่อันนี้คือสิ่งที่ผมจะกลับมาทำ
ตอนลาออกกังวลไหม
เดี๋ยวมันก็จะถึงเวลาที่ผมไม่มีตัง ตอนนั้นผมจะค่อยหางาน แต่ตอนนี้ยังไม่ถังแตกงั้นก็ทำเพลงก่อน (หัวเราะ) ตอนแรกผมลาออกมาตอนตุลา แล้วเริ่ม EP ที่ 4 ไม่รู้จะจนตอนไหน แต่ให้มันมีโปรเจกต์ปล่อยได้เรื่อย ๆ ไปก่อน เผื่อวันนึงมันมีอันนึงที่ดัง แต่ก็อยากดังในวิธีที่ถูกต้อง อยากเป็นที่จดจำว่าเราทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่ดังแบบ TikTok ล้านวิว แล้วมีแค่เพลงเดียว อยากดังแบบ คนนี้ทำเพลงดี โปรดิวซ์ดี แร็ปเก่ง ดังเพราะความสามารถ
แล้วพอมาอยู่ตรงนี้ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ผมเป็นศิลปินที่เกิดในยุคโควิด ดังนั้นก็ไม่มีทางรู้ว่าคนมีปฏิกิริยากับเพลงของผมตอนเล่นสดยังไง ก็เลยทำเพลงออกมาให้เป็นเพลงฟัง ดูดกัญชาฟังได้ แล้วผมแค่ดีไซน์ให้ซาวด์เหมือนอยู่ในหัวเท่านั้น โดยที่ไม่เคยจินตนาการว่าการเล่นสดมันจะเป็นยังไง แล้วครั้งแรกที่ผมเล่นสดคือที่ Brownstone ที่เป็นชื่อผมคนเดียว หลังจากนั้นผมเข้าใจเลยว่า ท่อนนี้ทำให้คนรู้สึกแบบไหน อีกท่อนรู้สึกยังไง แล้วผมก็ไปดูคอนเสิร์ตมากขึ้น ทุกเพลงมันจะมีคาแร็กเตอร์ที่ทำให้คนดูมีปฏิกิริยาต่างกันไป ทำให้เข้าใจว่าบางทีเพลงไม่ได้แค่ไว้ฟังอย่างเดียว แต่มันเป็นการที่ดนตรีไปถึงคนฟัง แล้วคนฟังส่งพลังงานกลับมา ตอนนี้ผมเลยดีไซน์เพลงให้มีท่อนที่คนดูเขาจะตื่นเต้นไปกับผม นั่นเลยทำให้ผมได้เรียนรู้สปิริตของการเล่นสดมากขึ้น แล้วก็เขียนแร็ปไทยมากขึ้น เมื่อก่อนใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก อันไหนผมทำได้แล้ว โปรดิวซ์ได้แล้ว มันก็ยังมีอะไรที่ยังทำไม่ได้ ก็คือแร็ปไทย ยังฝึกอยู่
ตั้งเป้าตัวเองในอนาคตว่ายังไงบ้าง
ผมต้องได้อยู่เวทีเดียวกับ 88Rising ไม่ว่าเอเนอร์จี้บนเวที หรือโปรดักชัน หรือสกิล ผมว่ามผมมีพอจะสู้เขาได้ ฟังดูขี้โม้นะ แต่ถ้าผมฝึกฝนบ่อยจนมั่นใจพอจะขึ้นไปได้ ผมว่ามันน่าจะเป็นไปได้ แต่ว่า 3 ปีที่แล้วผมก็พูดงี้ ไม่รู้สิ (หัวเราะ)
ติดตามข่าวสารและผลงานใหม่ ๆ ของ Réjizz ได้ที่ Facebook และ Instagram
อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ