คุยกับ neptember ถึงอัลบั้มแรก ‘That’s Love After All, Isn’t It’ และความรักแบบเดือนกันยาที่เปียกปอนด้วยน้ำตา

by McKee
448 views
neptember That’s Love After All, Isn’t It Yeezaa pop jazz

หลังจากปล่อยเพลงออกมาถึง 5 เพลง ที่มีแนวทางที่ชัดเจนของตัวเอง ในที่สุด neptember หรือ นัท—ดลรัชรัตน์ พรหมสุนทรกุล ก็ได้เป็นศิลปินเต็มตัว จากคำชวนที่เป็นกันเองของ ยิ้ม Yeezaa ซึ่งได้ร่วมงานกันในโปรเจกต์ส่วนตัวของเขา จนได้เห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงนัท จึงตัดสินชวนเธอเข้าค่ายเพลงของตัวเองทันที และความมุ่งมั่นบวกกับการสนับสนุนจากทุกคนทำให้เธอมั่นใจพอจนนำไปสู่การสร้างสรรค์อัลบั้มแรกของเธอขึ้นมา

อัลบั้มแรกในชีวิตของเธอในชื่อว่า ‘That’s Love After All, Isn’t It’ ซึ่งจะเปลี่ยนเดือนกันยายนของทุกคนให้เปียกปอนไปด้วยน้ำตา สะท้อนการเดินทางผ่านมุมมองและประสบการณ์เกี่ยวกับความรักในหลากหลายแง่มุม การตั้งคำถามเกี่ยวกับความรัก โดยไม่จำกัดเพียงความรักแบบโรแมนติก แต่รวมถึงความสัมพันธ์กับครอบครัว การรักตัวเอง และความเจ็บปวดที่มาจากการรักคนอื่น

ซึ่งทุกเพลงในอัลบั้มนี้คือการค้นหาความหมายของความรักจากประสบการณ์ที่เธอได้เรียนรู้และสั่งสมมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Transmission วันนี้ เราอยู่กับนัทที่จะมาเปิดเผยเบื้องหลังทั้ง 14 เพลงแบบหมดเปลือก รวมถึงการได้เป็นศิลปินเต็มตัวเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อวงการดนตรียังไงบ้าง

neptember That’s Love After All, Isn’t It Yeezaa pop jazz

พี่ยิ้ม Yeezaa ชวน (หัวเราะ) ช่วงที่ทำเพลง Our Song พี่ยิ้มก็ทำ Thaimilktea พอดี เลยเอาเรามา feat ในเพลงเขาด้วย คุยไปคุยมาเขาก็เชียร์ให้ทำเพลง แต่เราก็ค่าใช้จ่ายเยอะมาก ทำเพลง ๆ นึงเนี่ย เขาก็เลยชวนเข้าค่ายไหม คือใจเราเราอยู่อยู่แล้ว ตอนมา Yeezaa ครั้งแรกบรรยากาศมันดีอยู่แล้ว แล้วทุกคนฟังเพลงคล้าย ๆ กัน แต่ก็ปรึกษาทุกคน มีพี่ที่นับถือบอกว่า เป็นกูกูอยู่นะ มันจะมีสักกี่คนที่อยากทำเพลงให้เรา มึงไม่ต้องวิ่งไปหาโปรดิวเซอร์” มันตรงไปตรงมาขนาดนั้นเลย แล้วเราก็เห็นภาพค่อนข้างชัด ก็เลยแบบโอเคลองดู ไหน ๆ ก็มีเพลงเก่าที่เขียนไว้อยู่แล้วเลยลองส่งให้พี่ยิ้มฟัง เขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าอยากทำ แต่พอทำกันจริง ๆ แล้ว โละใหม่หมดเลย (หัวเราะ)

น่าจะเสียง ตอนเขาพูดถึง a beautiful human of mine เพลงแรกใน EP ของ thaimilktea เหมือนตอนเขาทำกับ เพลง DAYNIM เขาหาเสียงน่ารัก ๆ เลยนึกถึงเรา เพราะเหมือนพี่ยิ้มก็ฟังงานเรามาตั้งแต่ Spinach ถ้าจำไม่ผิดนะ แล้วเขาก็จำได้ว่าเสียงนี้มันน่ารัก อยากเอามาร้องในเพลงเขา พี่ยิ้มชอบเสียงต่ำ แล้วใน a beautiful human of mine มันเสียงต่ำเยอะ พอมาในอัลบั้มนี้ก็เลยได้ร้องเสียงต่ำเยอะเลย​​ (หัวเราะ)

น้อยมาก เหมือนในแง่ชีวิตความเป็นอยู่อะน้อย แบบเรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ แบบมนุษย์ที่มีสังคมใหม่ก็ต้องหัดเข้าสังคม แต่ที่นี่จะใช้ความพยายามน้อยกว่าที่อื่นเหมือนกัน เหมือนทุกคนใช้ภาษาเดียวกันประมาณนึง ส่วนในแง่การทำงาน เรียกว่านัทได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากกว่า สมมติถ้าชอบอยู่แค่นี้ฟัง oldies 70s แต่พอเจอพี่ยิ้มก็จะได้เจอ 70s ในแบบอื่น ๆ ที่ตัวเองไม่เคยเจอมาก่อน แบบเพลงนี้ไม่เคยฟังเลย หรือไปลองฟังแนวอื่นไหม ก็จะได้ input เยอะขึ้นมาก ๆ เหมือนได้เรียนรู้จากเขาแทน

พอตกลงว่าจะเข้าค่าย พี่ยิ้มก็แนะนำเลยว่าทำอัลบั้มเลยนะ ไม่เอาซิงเกิล อยากให้จำกัดความตัวเองว่าเป็น singer-songwriter เลย ให้ทำคอนเซปต์อัลบั้ม เลยไปลองเขียนเพลงมาทั้งหมด 12 เพลง ใช้เวลาสองอาทิตย์ ทั้งเมโลดี้ทั้งเนื้อต่าง ๆ แล้วลองมาขายเขา แต่ก่อนที่จะขายเขา เหมือนได้ชื่ออัลบั้มมาแล้ว เกิดจากที่วันนึงนั่งฟังเพลงของ Ryan Beatty ด้วยกัน แล้วนั่งดูเนื้อเพลง เพลงนั้นชื่อ Andromeda แล้วมีท่อนนึงที่ร้องว่า “that’s love after all, isn’t it” แล้วก็เลยรู้สึกว่ามันเชื่อมต่อกับเพลงที่เราเขียน เพราะ 12 เพลงนั้นมันเกี่ยวกับความรักหมดเลย แต่มันไม่ใช่ว่าแบบความรักแบบความสัมพันธ์เชิงลึกซึ้งแบบคู่รัก แต่เป็นความสัมพันธ์แบบตั้งคำถาม ความทรมานจากความรักที่คนอื่นบอก ครอบครัว ชีวิตตัวเอง หรือเรื่องตัวเองจริง ๆ ก็มี แบบเขียนถึงพ่อ เขียนถึงแม่ แต่ก็ได้เป็นเรื่องโรแมนติก เลยตีความออกมาว่าคำนี้คือความรักที่เราเข้าใจมาในช่วงหลัง ๆ ไม่เกินสามปีที่ผ่านมานี้ อันนี้คือความรักในแบบที่เราเข้าใจ มั้ง ก็ยังเป็นคำถามอยู่ดี เป็นเด็กขี้สงสัยอะ เจ้าหนูจำไมระดับนึง

มีเยอะ Carpenters มีแน่นอนอยู่แล้วเพราะเราโตมากับเขา มี Carole King มี Matt Maltese ก็ใช่นะ Taylor Swift มีแน่นอนอยู่แล้ว จริง ๆ Laufey ก็เป็นแรงบันดาลใจอีกทาง ที่ทำให้รู้สึกว่าอยากทำเพลงคลาสสิคทำเพลงแจ๊ส ทำเพลงแบบนั้นแล้วยังมีคนชอบอยู่ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรากล้าตัดสินใจทำเพลงแนวนี้ เป็นสิ่งที่เราฟังตั้งแต่เด็กจริง ๆ ยิ่งพอมาทำเพลงกับพี่ ๆ ที่ Yeezaa ก็เหมือนกระเทาะตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่ารากเราเป็นแบบนี้จริง ๆ ในเพลงเราบางเพลงที่เขียน ก็ค่อยย้อนตัวเองกลับมาได้ว่ามันคือเพลงไหนของ Carpenters อะไรเงี้ย ไม่ได้หมายถึงว่าเอาเนื้อเพลงเขามา แต่เนื้อเรื่องประมาณนี้มันคือสิ่งที่เราเคยฟังจาก Carpenters หนิ เพลงที่เราฟังตอนเด็ก ๆ มันเลยหล่อหลอมให้เราเขียนเพลงออกมาประมาณนี้

อัลบั้มที่ชอบที่สุดของ Taylor Swift คือ folklore รู้สึกนั้นคือความ depressed ที่ถูกต้องสำหรับเรา ก็เลยกล้าที่จะแสดงความ depressed ในอัลบั้มนี้ คือ folklore มันดู depressed มาก ๆ สำหรับเรา น่าจะมีเพลง Blaine ที่ penwork วิธีการเขียนอันนั้นคือไหว้แม่ประมาณนึงอะ

ก็น่าจะเป็น pop jazz ที่มีความ alternative ละมั้ง แบบ alternate pop อะไรงั้น ไปแจ๊สก็ได้ มีเพลงโฟล์คอยู่ในนั้น มีเพลงบูลส์ โซลอะไรงั้น คือแต่ละเพลงเราสามารถเล่าได้เลยว่าแต่ละเพลงมีส่วนประกอบอะไรอยู่ในนั้น

neptember That’s Love After All, Isn’t It Yeezaa pop jazz

Lilac Tale ก็เป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้มที่เขียน แต่ปล่อยเป็นเพลงแรก เพราะพี่ยิ้มบอกว่าเราลองคว่ำโต๊ะกันมั้ย ถ้าปล่อย Lilac Tale ดูเป็นคนกล้าได้กล้าเสียประมาณนึงนะ คือคนไม่เคยได้ชินนัทร้องเสียงต่ำขนาดนี้ เป็นเพลงที่พี่ยิ้มไม่ได้แก้เนื้อด้วย เราคิดในหัวว่าอยากเป็นแม่มดเล่านิทาน ประมาณ once upon a time in a world.. ประมาณนี้ เรื่องของเรื่องคืออยากเล่าถึงความรักที่มันยาก Lilac เป็นสีม่วง สีที่เราชอบ แล้วชอบท้องฟ้า เนื้อเพลงในนั้นเลยมีเกี่ยวกับสีของท้องฟ้าต่าง ๆ ความสัมพันธ์ คำสัญญา อะไรที่เรารู้สึกว่ามันถูกทำลายความไว้ใจ แล้วเรารู้สึกว่าถ้าความรักมันยากขนาดนี้ twist ไป twist มา ไม่ได้มันสักที ไม่สมหวังสักที ผิดที่ถูกเวลา ถูกที่ผิดเวลา สลับไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ก็พอไหม แบบถ้ามันยากขนาดนั้น บ๊ายบายมันเถอะ ก็เลยเลือกที่เขียนเรื่องนี้ออกมาเล่าเป็นนิทานให้ลูกหลานฟัง (หัวเราะ)

พาร์ทดนตรีสนุกมาก มันเป็นเปียโนสูงต่ำกับกีตาร์ แล้วก็มีเครื่องสายนิดหน่อยมันน้อยชิ้นมากเลยอะ แถมอัดร้อง long take 90% ไม่มีเจาะ

เป็นเพลงรักของเราที่ไม่สมหวังอยู่ดี คือในอัลบั้มนี้ไม่มีอะไรสมหวังเลย (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่คนเดิมแล้วนะ เป็นเพลงรักของเราที่แบบยกย่องคน ๆ นึงมาก ๆ ชื่นชมคนนึงมาก ๆ อยากให้ทุกคนรักเขาแบบที่เรารู้สึก ตอนแต่งคือภาพน้ำยาปรับผ้านุ่มโฆษณา (หัวเราะ) คือเธอเป็นพระอาทิตย์เดินได้ เดินไปไหนดอกไม้ก็บาน คือชอบมากแต่ไม่อยากได้เป็นเจ้าของ แค่อยากให้ทุกคนเห็นความน่ารักของเขาแบบที่เราเห็นก็คงจะดี แค่นั้นอะ ก็เลยจบที่ความไม่สมหวัง ถ้าดูจากเนื้อเพลงจะเห็นว่ามีคำว่าตาเยอะมาก ใช้ตาพูดแทนการที่พูด กีตาร์ทั้งอัลบั้มนี้เป็นฝีมือพี่ฮอน Bellythebear เบสในอัลบั้มก็จะเป็นพี่เก็ต DAYNIM แต่ถ้าเพลงไหนมีกีตาร์อีกตัว เปียโนหรือเครื่องสายหรือเครื่องอื่น ๆ ก็จะเป็นพี่ยิ้ม รวมถึงมิกซ์ทั้งอัลบั้มนี้ก็เป็นมือพี่เก็ต DAYNIM ด้วยเช่นกัน

Lilac Tale กับ Blossom มันติดกันใช่ไหมในอัลบั้ม ถ้าฟังมันจะต่อกันแบบไร้รอยต่อทอเต็มผืนสุด ๆ เลย จากเครียด ๆ หม่น ๆ ใน Lilac Tale ก็จะมาสดใสขึ้นใน Blossom เลย ทำให้นึกวงเก่าที่เราฟังแล้วหล่อหลอมมาเป็นเราวันนี้ คือรู้สึกใกล้เคียงกับ Close To You ในแง่เนื้อเพลง คือเธอเป็นนางฟ้าใช่ไหม angel in town สุด ๆ ของเราก็เป็นดอกไม้ เป็นพระอาทิตย์งี้ ซึ่งมีอีกเรื่องนึงเป็น fun fact (หัวเราะ) คือเราชอบดู Friends แล้วพอแต่ง Blossom เสร็จ มิกซ์เสร็จ มาเปิด On This Day บน Facebook ของตัวเอง แล้วเห็นที่ตัวเองแคปซีนของโจอี้มานั่งสะกดจิตตัวเองว่า “it’s just a crush, that’s all” แล้วมันกลายเป็นคำที่เราเอามาแต่งเพลงแล้วไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน คือเปิดมาเจอแล้วแบบ เอ้าเฮ้ยมึงนี้มันเนื้อเพลงใน Blossom นี่หว่า ไม่ได้ตั้งใจ

ก่อนจะมานั่งคุยเรื่องชื่อเพลงกับพี่ยิ้ม มันมีชื่อเก่าว่า “Mindless Heart Of Mine” แล้วเป็นเพลงที่สนุก จังหวะกลางเร็ว ๆ เลยนะ แต่พอมานั่งทำกับพี่ยิ้มไปเรื่อย ๆ มันเหมือนเพลงผัวตายขึ้นเรื่อย ๆ คือเรานั่งปรับไปเรื่อย ๆ พี่ยิ้มก็เขียนมาเพิ่มเรื่อย ๆ เห็นแล้วแบบน้ำตาไหลเพราะมันอ่านแล้วนึกถึงคนที่จากไป จากตอนแรกที่เป็นเพลงแอบชอบใคร กลายเป็นเพลงที่แบบวันนี้เขาไม่อยู่แล้ว แต่เราจะใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ โดยที่เก็บไว้กับตัวเองนี้แหละจนกว่าจะทำได้จริง ๆ ก็ไปคิดถึงย่า คิดถึงคนที่เสียไปแล้ว แต่เราเรียกเพลงนี้เป็น working title ว่าเพลงผัวตาย (หัวเราะ)

ชอบเพลงนี้อะ คือเรามีบาดแผลในใจที่โตมากับครอบครัวที่เสียงดัง ปิดประตูดังปั้ง เสียงตะคอก พอโตมาค่อย ๆ เข้าใจตัวเองว่าเรากลัวทุกเสียงที่ดังโดยไม่ได้ตั้งใจ คือเวลาคนเราโดนตะคอกมันเหมือนฟ้าผ่า เหมือนฝนตกที่เราไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ แล้วเรากลัวเลยเอาความกลัวนี้มาต่อกับความสัมพันธ์ตัวเอง ว่าตัวเองก็เป็นคนกลัวความรักเหมือนกัน รู้สึกตัวเองไม่มีที่พักใจให้เกาะ แต่เนื้อเพลงมันจะมีท่อนที่ twist กัน คือเป็นท่อนที่พี่ยิ้มร้อง จะร้องประมาณว่าตอนนี้เจอพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองแล้วนะ แต่สุดท้ายก็หักจบด้วยคำว่าไม่มีใครให้ตัวเองรู้สึกสบายใจได้เลยเพราะไม่เชื่อ เหมือนผลักคนออกไปเรื่อย ๆ เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครทำให้เราปลอดภัยได้จริง ๆ ก็เลยเหมือนฝนตกไม่มีวันหยุด อะไรแบบนั้นเลย ไม่มีทางหายกลัวหรอกฝน ไม่มีทางมีหลังคาให้ชีวิต ก็เลยยังโสดแบบนี้อยู่ไงคะ (หัวเราะ)

ส่วนดนตรีจะเป็น soft rock มีกลองเข้ามา ตอนแรกที่พี่ยิ้มส่งดนตรีของเพลงนี้มาให้ นัทกลัวเหมือนกันเพราะมันจะมีเสียงเหมือนฟ้าผ่า เราแบบคุณน้าทำถึงอยู่นะ เรากลัวเลย กับการที่ต้องร้องเสียงต่ำมาก ๆ แบบนั้นด้วย มันฝืนเราประมาณนึง ก็ช็อคตัวเองประมาณนึง ไม่เคยได้ยินตัวเองร้องเสียงต่ำขนาดนั้นมาก่อน

เราไม่เชื่อในความรักที่คนอื่นเขาพูดมาตลอดว่า ต้องทำแบบนี้สิถึงถูกต้อง เราไม่เชื่อกฎเกณฑ์ที่คนตั้งกับนิยามความรักไว้ สุดท้ายถ้าเราต้องทรมานขนาดนั้นกับการให้ความรักคน ๆ นึงที่คนอื่นบอกว่าสิ่งนี้ถูกต้อง มันไม่น่าใช่ เหมือนอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีแม้แสงจันทร์ นั่นคือชื่อเพลง เหมือนเราหาทางออกจากสิ่งนี้ไม่ได้เลยจนกว่าใครจะตายจากกันไป มันทรมานมากเว้ย ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่มาจุดไฟให้เราออกจากเขาวงกตนี้ น่าจะเป็นเพลงแรก ๆ ที่เขียนได้ คือมันทรมานแหละ ทำไมเราจะใช้ชีวิตของตัวเองโดยเป็นอิสระจากความรักแบบนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ด่าใครนะ แค่เขียนว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เพราะเขาบอกว่านี้คือความรัก ก็อ๋อ โอเค มึงได้ทั้งหมดเลยนะ แล้วกูได้อะไร

ด้วยความที่อัลบั้มนี้ ดนตรีพี่ยิ้มเขาเล่นใหญ่มาแบบทุกเพลงมีเครื่องดนตรีเครื่องสายมากันหมดเลย วางเหมือนเป็นวงออร์เคสตราวงนึง เลยมี intermission มาเป็นจุดคั่นกลาง คือพี่ยิ้มเขาเรียนดนตรีมาเขาบอกว่าเป็นช่วงที่ทุกคนจะไปพักเข้าห้องน้ำอะไรแบบนี้ อัลบั้มเลยแบ่งเป็นสามองค์ องค์แรกก็คือหมดตรง intermission ตรงนี้ ดนตรีองค์แรกจะน้อยมาก ๆ องค์ต่อไปดนตรีจะกระชับขึ้น ส่วนองค์สุดท้ายจะร่าเริงหน่อย ซึ่ง intermission จะมีเนื้อเพลงของ Old Teacup อยู่ แต่เป็นส่วนที่ไม่ได้ใช้ เลยเอามาไว้ใน intermission แล้วทำเหมือนเราซ้อมร้องเพลงอยู่หลังม่านอะไรประมาณนั้น สภาพการอัดก็คืออัดต่อจาก Moonless Maze เลย ก็คืออัดกีตาร์พร้อมกับพี่ฮอนด้วย ซึ่งพออัดเสร็จก็ลุกออกจากไมค์ แล้ว record ต่อไปเลยแบบนั้น เดินเลยไมค์ไปแบบนึง แล้วก็ร้องเนื้อเพลงอันนั้นแหละ ทำเหมือนทุกคนนั่งดูเราอยู่จริง ๆ

เป็นคำรักแบบร้องขอความรัก คนแบบเราไม่ร้องขอความรักจากใคร ถ้าไม่หนักจริง ๆ ซึ่ง Down To The Wire มันเหมือนเป็นคำที่ใช้ในเกมกีฬา แบบรอบสุดท้ายแล้วจริง ๆ ก็เลยอยากเอาคำนี้มาใช้ คือเรารู้สึกว่ามันต้องเป็นฟางเส้นสุดท้ายจริง ๆ ถึงจะให้คนมาโอ๋เราอะ เราก็จะระบุคนมาแล้วว่าคนเหล่านี้คือคนที่เราจะโทรหาหรือพิมพ์บอกถ้าเราไม่ไหว ก็เลยเขียนมาแบบนี้ แต่มันค่อนข้างดูโรแมนติคนิดนึง ดูแบบกอดหนูสิ หนูไม่เป็นไร เป็นเพลงตอแหลระดับนึงถ้าพูดตรง ๆ (หัวเราะ) ฟีลแบบ “โอ๋หนูหน่อย”

ดนตรีมันก็จะไปทาง soul r&b ระดับนึง เพลงนี้น่าจะไหว้ Yebba มา ช่วงนั้นฟังเยอะ ตอนอัดยากมาก ตอนทำเดโม่ขายค่าย ก็ต้องร้องอัดเดโม่ไปรอบนึงใช่ไหม พอกลับมาฟังจากอัดจริงก็แบบไม่ชอบเลย แล้วเครียดมาก ไม่ชอบเสียงตัวเองที่ร้อง ตอนอัดจริงพี่ยิ้มต้องทิ้งนัทไว้ในห้องอัดกับนักดนตรีเป็นชั่วโมงอะ ให้มันหนึบไปด้วยกันให้ได้ คือดนตรีเขาทำมาดีมากแล้ว แต่เราร้องไม่ได้ พอเสียงมันเริ่มมา เริ่มมีช่องทางแล้ว กลายเป็นเสียงเราไม่ไปกับดนตรี มันดีเลย์อะไรไปหมด ก็เลยแบบเดินวนซ้อมจนหาจุดเจอ เกือบชั่วโมง พออัดเสร็จก็นั่งคุยกับพี่ยิ้มว่านัท breakdown พี่ยิ้มก็ดูออก จะทิ้งนัทไปตั้งนานแล้ว แต่กลัวนัทไม่โอเค ส่วนนัทก็อยากให้พี่ออกไปจากห้องตั้งนานแล้ว นัทก็ไม่กล้าพูด คือคิดเหมือนกันแต่ไม่กล้าพูด แต่หลังจากนั้นก็เปิดเลยว่าถ้ารู้สึกอะไรควรพูดไปเลย เพื่อให้งานมันออกมาดี นี้แหละคือความยากนิดหน่อยแต่ก็ทำให้เราเป็นมนุษย์มากขึ้น กล้าสื่อสารกับมนุษย์มากขึ้น ทำเพลงแล้วไม่ได้แค่เพลง ได้วิธีการอยู่ร่วมกับมนุษย์จริง ๆ ด้วย

เพลงนี้เป็นเพลงบอกเลิก มันน่าจะเหมือนเราไม่ได้อยากรักเขาแล้ว แต่เราทำตามที่เขาคาดหวังไม่ได้ มันน่าจะมีคนที่ทำได้อยู่แต่ไม่ใช่เราเฉย ๆ นี้คือคีย์หลักของเพลงเลย ท่อนฮุคเอาถ้วยชาเก่ามาเปรียบ คือมันเป็นสิ่งที่เคยใช้ร่วมกันแล้ววันนึงเราจะทิ้งไว้แค่รอยลิปสติกแล้ว ชาถ้วยนี้จะเป็นชาถ้วยสุดท้ายที่ใช้ชีวิตด้วยแล้ว หลังจากนั้นก็บ๊ายบาย สำหรับเราเพลงนี้ไหว้ Matt Maltese

เพลงนี้ไหว้ Taylor Swift แน่นอน เพลงนี้เป็นเพลงที่ไม่โดนแก้เนื้อเหมือนกัน กีตาร์โปร่งเป็นหลัก มีคีย์ตอนที่พี่ยิ้มทำดนตรีว่าเป็นเพลงที่อยากให้นัทกระซิบข้างหู คือถ้าใส่หูฟังจะมีนัทประมาณ 8 หมื่นเลเยอร์อยู่ในนั้น ร้องเหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้าง ตอนอัดก็ improvise ระดับนึง ความสนุกคือตอนทำเดโม่คือพี่ยิ้มปล่อย improvise เลย อัดยาวแล้วได้ยินอะไรไอ้นัทร้องออกมา กลายเป็นว่าตอนมาอัดจริงที่เป็นอัดยาว มันแบบ เอ๊ะ กูร้องอะไรไปวะ (หัวเราะ) มานั่งเท้าเอวแล้วแบบวันนั้นเราได้ยินอะไรนะ แต่ Blaine คีย์เวิร์ดน่าจะอยู่ที่ท่อนที่บอกว่า เราใสซื่อเกินไร้เดียงสาไปที่ได้รับทั้งหมดจากตรงนั้นที่เขาให้เรา คือเรามองว่าสิ่งที่เขามอบให้เราคือความรัก คำพูดของเขา การทำตัวแบบนี้ของเขาคือการเป็นห่วง แต่ความจริงมันคือการทรมานเรา เราอาจจะเข้าใจผิดไปเพราะโตมาแบบ tough love มาก ๆ จากที่บ้าน มันมีผลจริง ๆ นะที่ทำให้เรารักผิดคน ทำให้เราเจอแต่อะไรก็ไม่รู้ Blaine ก็เลยมาเล่าฟีลนั้นว่าแบบตอนนั้นกูไร้เดียงสามากเลย จริง ๆ ตอนนั้นกูเจ็บอยู่นะอะไรงี้

เราเป็น people pleaser เลยอยาก entertain ทุกคน แต่ไม่ได้ดูว่าตัวเองไหวไม่ไหว เราเอนจอยกับทุกที่ ซึ่งบางทีทุกครั้งมันไม่ใช่แบบนั้น บางทีก็รู้สึกว่าข้างในกูแม่งพังไปหมดแล้ว Sunlit Room มันก็เป็นแบบห้องที่มีแสงส่องมาขนาดนั้น นัทยังรู้สึกกลัวเลยจริง ๆ ลึก ๆ ตอนทำเดโม่เสร็จ อัดเสร็จแล้ว เราไม่กลับไปฟังอีกเลย เป็นเพลงเดียวที่ไม่ฟัง เพราะว่ามันจริงเกินไป มันจะร้องไห้ เป็นเพลงที่ depressed ที่สุดในอัลบั้มสำหรับเราแล้ว คิดว่าใช้ความกล้าหาญประมาณนึงในการเล่า คือสงสัยตลอดเวลาว่ามีใครรักกูจริง ๆ ไหมเนี่ย เป็นเด็กขาดความรักขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมกูไม่รู้จะเชื่อใจใครได้จริง ๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขาต้องยืนยันแบบไหนหรือทำยังไงเราถึงจะเชื่อใจว่าเขารักเรา

เพลงนี้น่าจะไหว้ Adele คือเราเป็นคนที่ร้องไห้กับ I Drink Wine ตลอดมา เลยอยากมีสักเพลงนึงที่เหมือน I Drink Wine ของตัวเองแบบนั้น ลองเขียนเรื่องตัวเองดูดีไหม เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยจริง ๆ กับการที่เป็นตัวเอง ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น ก็เลยกลายเป็นอีห้องแสงส่อง เป็นไอนัทนั่งงง ๆ แต่ก็ไม่ได้มีใครเห็นเราเป็นแบบนั้น ข้างหน้าอาจจะแบบแง่ง ๆ ข้างหลังฮือ ๆ

หลังจบ Sunlit Room ก็คือแหกปาก เสียน้ำตาอะไรไปแล้วเรียบร้อย ก็เข้าไปพักวอร์มเสียงเพื่อออกมาร้องเพลงสนุก องค์นี้จริง ๆ จะมีชื่อประมาณแบบ Forever Yours คือหลังจากนี้ก็เริ่มเป็นเพลงที่พูดถึงคนอื่น เป็นช่วงที่ให้ความรักกับคนอื่นบ้างแล้ว หลังจากที่เราหาความรัก หาคำตอบ ขอร้องความรัก ไม่เชื่อในความรักมา อันนี้ดูจะเป็นองค์สุดท้ายที่จะเป็นการปิดม่านแล้วบอกคนอื่นว่า จริง ๆ กูก็มีความรักที่อยากให้กับคนที่เขาดีกับเราเหมือนกัน ก็เลยเป็นเสียง หู หู้ หู้ว ใช่มะ ก็เป็นวอร์มเสียง ก็คืออัด Sunlit Room เสร็จก็เดินมา พี่ยิ้มก็รอกดคีย์บอร์ดอยู่ตรงนู้น ก็มีพี่ฮอน พี่เก็ต DAYNIM ไอ้นัท พี่ยิ้ม สี่เสียงที่ร้องเสียงนี้ด้วยกัน

เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่มีความสุขที่สุดในอัลบั้มแล้ว เราให้คำนิยามว่าเป็นเพลงหมาเด็กที่ไม่อยากบ๊ายบายกับทุกคน คือถ้าเราอยู่กับใครแล้วเราสบายใจแล้วเราแฮปปี้เราก็อยากอยู่ด้วย ไม่อยากกลับบ้านเลยเนี่ย ถ้าบอกว่าให้เอากระเป๋าทิ้งตรงนี้แล้วอยู่ต่อ ไม่ต้องกลับบ้านเลยเนี่ย เราก็จะทิ้งกระเป๋าแล้วอยู่จริง ๆ นะ แต่ถ้ามองลึก ๆ มันก็เป็นเพลงที่มีปัญหาเรื่อง Attachment Issue คือถ้าติดใครก็ติดเลยเหมือนเป็นหมาเด็ก เลยเรียกว่าเพลงหมาเด็ก จริง ๆ แอบเพิ่มเรื่องนึง คือในทุก ๆ เพลงแทบจะมีพี่ยิ้มร้องอยู่ข้างหลังเรื่อย ๆ เลย อย่าง Tick Of Time ก็มีชัดเหมือนกัน แต่เขาไม่ให้เขียนชื่อเขา (หัวเราะ)

เวลาโชว์ก็คือจะเป็นเพลงสุดท้าย แบบเราไม่อยากลงจากเวทีเลย ตอนพี่ยิ้มทำ Show Director ก็สนุกเหมือนกันเพลงนี้ พอเราจะร้องท่อนสุดท้ายจบ บ๊ายบายคนแล้วลงมาดูวงตัวเองเล่นต่อ จนให้น้าแกจบกันเองบนเวที ก็เป็นเพลงที่น่ารัก

เวลาเราทำงานในคอนเสิร์ตเราจะชอบหันไปดูว่ามนุษย์เป็นยังไง มนุษย์เอนจอยกับคอนเสิร์ตไหม แต่มันจะมีอีคนนึงที่เราหันไปเมื่อไหร่ เราจะจับตาคนนี้ได้ตลอด ไม่ว่ากูจะอยู่มุมซ้าย หันไปทางนี้เจอมึงอีกละ หันไปทางนู้นเจอมึงอีกละ ก็เลยเขียนเป็นเนื้อแฟนซีในหัวตัวเอง คือไม่อยากให้เพลงจบอะ ถ้าเพลงจบกูตกหลุมรักมึงแน่ แต่พอมาเขียนเนื้อกับพี่ยิ้มก็เลยดูเป็นเพลงแอบรักไป

เพลงนี้คือเรานอนไม่หลับเก่งมาก คนรอบตัวนอนไม่หลับเก่งมาก เพราะทุกคนโตแล้วมีปัญหาชีวิต เพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่เราคิดว่าเราจะมอบความรักคืนกับทุกคนได้ ตั้งใจอยากทำเพลงกล่อมนอน แต่เป็นกล่อมนอนแบบแอบบอกด้วยนะ ไอ้นัทมันไม่ชอบพูด เลยกลายเป็นคำว่า Hidden Lullaby เขาอาจจะไม่รู้นะว่าเราอยู่ตรงนี้ แต่จริง ๆ เราเป็นกำลังใจให้ตลอด เป็นเพลงรักแหละ ตอนอัดเพลงนี้คือเป็นการอัดรวม มีแค่พี่ยิ้มเปียโน นัทร้อง ตั้งไมค์รูมไว้ไกล ๆ อัดเสียงไอนัท อัดเสียงพี่ยิ้ม มันเลยได้ยินเสียงแบบกระซิบ ๆ ได้ยินเสียงเหยียบเปียโนอะไรงี้ มันสดมาก ๆ มันเลยเปรียบเป็นเหมือนหลังม่าน เล่นหลังม่านหลังโชว์ปิดแล้ว

ด้วยความที่เราเป็นคนไม่กล้าพูดตรง ๆ เพราะกลัวคำพูดตัวเองไปทำร้ายคนอื่น อันนั้นเป็นนิสัย แล้วภาษาไทยเขียนเพลงยากจริง ๆ เรานับถือทุกศิลปินไทยทุกคนที่เขียนเพลงไทยได้ เก่งอะ รู้สึกทุกคนที่ทำเพลงไทยคือเก่งมาก สำหรับเรา เรารู้สึกตัวเองไม่สามารถเล่าความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นภาษาไทยได้ เพราะมันซับซ้อนมาก เลเยอร์เยอะมากในเพลงของเรา เราชอบคิดออกมาเป็นภาษาอังกฤษก่อน เราไม่เห็นตัวเองที่เขียนเพลงไทยได้ดี สองเพลงแรกที่เขียนไปก็เด็กมาก ๆ ปัจจุบันคิดว่าภาษาอังกฤษน่าจะเข้ามือในแง่ของการเขียน

เราโตมากับการไม่ออกไปเล่นนอกบ้าน แล้วพ่อมีหนังสือเพลงเยอะ พวก greatest hits ฝรั่ง เราใช้ชีวิตร่วมกับสิ่งนั้น เปิดอ่านเนื้อเพลงตั้งแต่เด็ก ป๊าก็จะทิ้งเทปเพลงไว้ให้ใส่เครื่องเล่นเทปไว้ ก็นั่งฟังแล้วก็เปิดดูว่าเพลงนี้คือเพลงไหน เพลงแรกในชีวิตที่ร้องได้จำได้ว่าคือ I Will ของ The Beatles แต่เป็นเวอร์ชั่นผู้หญิงที่มี Banjo โฟล์คสุด ๆ เลยว่ะ น่าจะเป็น Alisson Krauss เป็นเพลงที่แบบร้องได้เพลงแรกเลย 4 ขวบมั้งนะ

ก็มีเปิด dict บ้างนะ รีเช็คแกรมม่าตัวเอง อันนี้ได้จริงยังนะ อย่างถ้า Lilac Tale ก็นั่งหาข้อมูลเหมือนกันว่าถ้าเป็นแม่มดเล่าเรื่อง ต้องมีกระท่อมไหม มีไม้กายสิทธิ์ไหม นั่งเปิดหนังสือนิทานที่บ้านดูว่าเขาเล่ายังไงกันนะ อยากเล่าเรื่องให้มันตรงกับในหัวที่คิด ก็จะมีวิธีทำงานแบบนี้ จริง ๆ ดูหนัง ฟังเพลงคนอื่น ก็จะเป็นวิธีฝึกฝนที่ดี คนที่มีอิทธิพลกับเราในการทำเพลงสากลค่อนข้างเยอะ กับวงไทยที่ทำเพลงภาษาอังกฤษ​ ก็จะชื่นชม temp. ชื่นชม Part Time Musicians มาก ๆ ที่เขาเขียนเนื้อโหด ๆ อัลบั้ม Guava Songs คือครูของเรา หรือ The Whitest Crow อย่าง The Last Little Piece คือหนูไหว้เลย โตแล้วชอบอะไรแบบนี้

มากก แบบมาก ๆ คือตอนเราทำงานซีนดนตรีอะ เราชื่นชมทุกคนที่ทำเพลงเพราะให้เราฟัง เพราะมาถึงตัวเองมันรู้สึกกดดันตัวเองเว้ย เพลงกูจะเป็นเพลงเพราะในชีวิตคนอื่นบ้างไหมนะ แล้วเราก็รู้เลยอย่างหนึ่งว่า สื่อดนตรีมันน้อยไปจริง ๆ พอถึงวันที่ค่ายต้องส่งอีเมลอะ ไม่รู้เลยจะส่งหาใคร มันยังขาดเรื่องนี้ไปมาก ๆ มีอยู่ไม่กี่เจ้า การผูกขาดยังมี เออกระแสด้วยด้วย แบบปีนี้ดีใจนะที่เป็นกระแสของ T-Pop ไทม์มิ่งมันสำคัญ การฝ่าฟันในแง่ศิลปินก็เป็นอีกแบบ จากที่เราเป็นคนซัพพอร์ตศิลปิน พอมาเป็นศิลปินเอง เราก็แบบ เชี่ย เราซัพพอร์ตแบบนี้ เขาก็ดีใจมากแล้วนะ มีคนพูดถึงเราเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เกินสามคำ หนูก็ดีใจมากแล้ว เพลงเรามีคนฟังด้วย มันก็เติมไฟให้เรา

เดี๋ยวนี้ศิลปินเกิดใหม่ทุกวัน ถามว่าเราจะไปเป็นหนึ่งในเชลฟ์นั้นไหม ไม่มีใครตอบได้จริง ๆ มุมมองมันคนละแบบเลย ตอนนี้ทำเพลงเพื่อให้เราได้เล่าเรื่อง จากเด็กที่ไม่ค่อยได้พูดเรื่องลึก ๆ แบบนี้ ก็ถือว่าทำเพลงบำบัดตัวเองระดับนึงนะ ก็คงจะดีใจถ้ามันช่วยให้ใครได้ express เขาออกมา ความหวังนึงของหนูคืออยากให้ใครฟังแล้วกดแชร์เพราะเขารู้สึกแบบนี้เหมือนกัน กดแชร์เนื้อเพลงเหมือนที่หนูอินเพลงชาวบ้านตลอดเวลา หวังว่าจะช่วยเขาได้ไม่ทางใดก็ทางนึง ในแง่ทำงานซีนดนตรีก็มีธุรกิจมาเกี่ยวข้อง การที่ศิลปินตัวเล็กตัวน้อยจะได้เข้าไปเล่น มันยากอยู่ การผูกขาดมันสูง ทุนนิยมมันไม่ได้ไม่มีข้อดีนะ แต่มันยาก ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยิ่งเป็นศิลปินเดี่ยวมันเยอะ ค่าห้องอัด ค่ามิกซ์มาสเตอร์ ใด ๆ ไม่มีค่ายคือสงสารเขามากเลย มันแบกมูลค่าเยอะ กลายเป็นซีนฝั่งดนตรีที่ทำงานอยู่ ก็ยิ่งเห็นใจวงมาก ๆ ยังไม่รวมแพลตฟอร์มที่ศิลปินต้องกลายเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไปด้วย คือมันยาก ถึงหนูจะทำคอนเทนต์ทุกวันในแง่การทำงาน แต่พอเป็นศิลปินแล้วต้องขายคอนเทนต์ตัวเอง มันขายวิญญาณอยู่นะ จริง ๆ แต่ถามว่าเราต้องปรับไหม ก็ต้องดูทิศทางว่าเพลงเราจะไปอยู่ไหน ตอนนี้ก็เลยทำคอนเทนต์แบบไม่ฝืนตัวเองอยู่ในฐานะศิลปิน

ปีนี้เรากลับรู้สึกว่าผู้หญิงมาแรง Sabrina Carpenter เอย Charlie XCX เอย Lizzy McAlpine หรือ Laufey เองก็ตาม คือรู้สึกว่าตัวแม่ ๆ ช่วงนี้มา Chappell Roan อีก เลยคิดว่าปีนี้เป็นปีของผู้หญิง ในไทยผู้หญิงก็ดังนะ 4EVE เอย แต่ถ้าพูดในซีนอินดี้ แอบเหม่อ ก็ขายยากจริง แต่ก็คิดว่าหลายปัจจัย ไม่ได้เกี่ยวที่เพศอย่างเดียว คือไม่ได้อยากให้รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วทำเพลงยากแน่เลย มันก็มีคนชอบฟังเสียงผู้หญิงอยู่ LANDOKMAI ไง ปีนี้มีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองด้วย น้องก็ทำมา 5-6 ปีได้แล้วไหม ต้องใช้คำว่าทุกคนมีช่วงเวลาของตัวเองดีกว่า เจอเมื่อไหร่แค่นั้น อย่าง neptember เนี่ยไม่คิดเลย

อยากมี passive income ว่ะ (หัวเราะ) ชีวิตตอนนี้ยังครึ่ง ๆ อยู่ เราก็วาดฝันว่าอยากมีชีวิตที่ตื่นมา ออกกำลังกาย พาหมาไปเดิน แล้วก็นั่งเขียนเพลงแบบ Taylor Swift ไปวัน ๆ แบบนี้ อยากให้เพลงตัวเองในอีก 5 ปีไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนอื่นได้

14 เพลงก็ค่อย ๆ ฟังนะคะ ถ้าแวะมาฟังได้ก็อยากให้ลองหาเพลงที่ตัวเองชอบจริง ๆ ดู มันหลากหลายจริง ๆ แล้วก็ความรักที่ตั้งคำถามมา ไม่ต้องรีบก็ได้ ความรักมันยังไม่เหมือนเดิมทุกวัน มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จริง ๆ ซึ่งหวังว่าจะมีสักเพลงนึงในอัลบั้มช่วยให้ผ่านสักเรื่องนึงในชีวิตไปได้ เอาแค่สักบรรทัดที่เราเขียน เราก็ดีใจแล้ว ก็ขอฝากอัลบั้มแรกไว้ด้วยค่ะ That’s Love After All, Isn’t It? ชื่อที่มันยาว ๆ โอ้ย ไม่เคยพูด (หัวเราะ) อัลบั้มหน้าชื่อจะสั้นลงแล้วล่ะ หนูคิดไว้แล้ว


ติดตาม neptember ได้ที่ Facebook, Instagram และ Youtube

neptember That’s Love After All, Isn’t It Yeezaa pop jazz
+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy