mindfreakkk (และแทน) เปลี่ยนเรื่องราวหม่นหมองในใจให้เป็นเพลงป๊อป

by Montipa Virojpan
2.5K views

mindfreakkk หรือ มายด์—กษิรา พรนภดล คงเป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันในฐานะนักแสดงมาในระดับหนึ่ง จนเธอได้ปล่อยผลงานเพลงอย่าง ‘Pluto Bay’ และ ‘Have You Ever?’ ทำให้หลายคนพบว่าเธอคนนี้ร้องเพลงได้ (แถมยังเพราะด้วย!) และล่าสุดเธอก็ได้ร่วมงานกับค่ายเพลงญี่ปุ่น ศิลปินไต้หวัน รวมถึงไปแสดงในเฟสติวัลต่างประเทศมาแล้ว วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่มายด์และ แทน—แทนสกุล สุวรรณกูฏ โปรดิวเซอร์จะมาเล่าเส้นทางการเป็นศิลปินที่กำลังเป็นที่จับตามองสุด ๆ ในขณะนี้ให้ The COSMOS ได้อ่านกันใน Transmission 

เดิมที mindfreakkk ไม่ได้เป็นโปรเจกต์ดนตรีจริงจังสำหรับแทนและมายด์ เพราะโดยปกติแทนก็เล่นดนตรีอย่างเชลโล่หรือเปียโน และมักจะได้จ๊อบรีมิกซ์หรือคัฟเวอร์เพลงให้คนนั้นคนนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งนั่นทำให้เขาค่อนข้างมีวัตถุดิบและความสนใจทางดนตรีที่หลากหลาย ในขณะที่มายด์เองทั้งที่รู้ว่าตัวเองสามารถร้องเพลงได้ แต่ไม่เคยได้มีโอกาสแสดงความสามารถด้านนี้กับใครเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง

“เหมือนมันอยู่ในใจมาตลอดว่าเราพลาดอะไรหลาย ๆ อย่างเพราะมัวแต่กลัวอยู่ จำได้ว่าที่โรงเรียนมีแข่งร้องเพลง แต่เราไม่เคยไปลงแข่งเลยทั้งที่รู้ว่าร้องได้ พอโตขึ้นรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่เราจะไม่เสียใจทีหลัง ก็เหมือนเริ่มมีเป้าหมายว่าเราควรเอาชนะ เลยลองผลักตัวเองอีกสักนิดแม้ในใจจะปรี๊ดแตกแล้ว”

จนปี 2016 เป็นจังหวะประจวบเหมาะที่แทนเกิดความรู้สึกว่าเขาน่าจะทำเพลงออริจินัลจึงได้ชวนมายด์มาร้อง ไม่น่าเชื่อว่าการแต่งเพลงร่วมกันครั้งแรกของมายด์กับแทนจะใช้เวลาไม่นาน เพราะต่างปล่อยให้การทำงานในพาร์ตของตัวเองเป็นอิสระ ทั้งคู่เลยสามารถทำออกมาได้ไหลลื่น และส่งขึ้นระบบฟังใจไปแบบไม่ได้คาดหวังอะไร

“เคยไปอ่านเจอบางคนบอกเพลงฝรั่งบางทีไม่เห็นต้องมีความหมายเลย อย่าง ‘Yellow’ ของ Coldplay ก็เลยคิดว่างั้นเพลงแรกเราไม่ต้องคิดว่ามันจะต้องแปลว่าอะไร เลยออกมาเป็น ‘Pluto Bay’ ที่ทั้งดนตรีและเนื้อเพลงขัดกันหมดเลย” แทนเล่า

จนกระทั่งเพลง ‘Pluto Bay’ ขึ้นไปติดชาร์ต ทั้งคู่เลยลองทำเพลงใหม่ ๆ ออกมาอีก แต่เพลงแล้วเพลงเล่าก็ยังไม่ถูกใจจนสามารถปล่อยออกมาได้ซักที และต่างคนต่างก็เริ่มทำงานในช่วงปี 2020 ทำให้ไม่ได้ผลักดันโปรเจกต์นี้ต่อ

แทนจบจากคณะสถาปัตย์ เป็นดีไซเนอร์ที่ Yimsamer (ภายหลังเปลี่ยนเป็นบริษัทอินเทอแร็กทิฟดีไซน์ XD49) ส่วนมายด์จบจากนิเทศศาสตร์ ก็เริ่มงานที่ The MATTER ซึ่งนั่นจึงทำให้พวกเขาได้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานอย่างพัด FOLK9/ Quicksand Bed ที่เป็นแฟนกับมู่ The Kopycat ซึ่งทำงานอยู่ที่ Believe Distribution ในขณะนั้น ก็ได้ผลักดันให้พวกเขาได้เข้าสู่การทำเพลงอย่างจริง ๆ จัง ๆ จนในที่สุด mindfreakkk ก็ได้ฤกษ์ปล่อย 3 เพลงแรกออกมาอย่างเป็นทางการบนสตรีมมิง นั่นคือ ‘Pluto Bay’, ‘Have You Ever?’ และ ‘Days are Nights’ ในปี 2021

แนวเพลงของ mindfreakkk ได้อิทธิพลจากดนตรีหลากหลายแนว แล้วแต่ว่าช่วงนั้นพวกเขาฟังอะไรกันอยู่ ตั้งแต่ฟังก์ ดิสโก้ แจ๊ส ทรอปิคัล Earth, Wind, and Fire, The Jackson 5, Michael Jackson, Silk Sonic ไปจนถึง City Pop, Boy Pablo แม้กระทั่งศิลปินไทยอย่าง Tattoo Colour ก็เป็นแรงบันดาลใจในงานของพวกเขา ดังนั้นเมื่อฟังเพลงของ mindfreakkk ก็จะได้พบกับความหลากหลาย ตั้งแต่บรรยากาศยามค่ำคืน vaporwave ไปจนถึงชายทะเล

“เหมือนพวกเราชอบค้นหาแนวเพลงใหม่ ๆ เรื่อย ๆ เหมือนกัน อย่างมายด์มีแนวการฟังเพลงที่แทนบอกว่าค่อนข้างต่อเนื่อง เพราะมันเหมือนกันหมดเลย (หัวเราะ) อย่างคอร์ด 2 5 1 6 เหมือนเป็นคอร์ดที่ฟังง่ายที่สุด สว่าง ป๊อปที่สุด คนอาจจะมองว่า ‘ทำได้แค่นี้หรอ’ แต่เรารู้สึกว่ามันเพราะ ทำไงได้ เราชอบอะ”

ซึ่งความชอบที่คงเส้นคงวาของมายด์ก็ถือเป็นการทำงานที่ง่ายสำหรับแทน เพราะแม้มายด์จะไม่ได้มีความรู้เชิงทฤษฎีดนตรี และทำให้การสื่อสารถึงความต้องการว่าอยากได้ซาวด์แบบไหนเป็นไปได้ยาก แต่มายด์ก็มีสไตล์ความชอบที่ชัดเจนและมีค่าวัด ‘ความเพราะ’ ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าคนอื่น ๆ จะชอบเพลงเหล่านี้เช่นเดียวกัน

“ถ้าให้มายด์เขียนเพลงคอร์ดที่ไม่ชอบขึ้นมา จะใช้เวลาพักนึงเลย บางทีก็แต่งต่อไม่ได้” มายด์เสริม

นอกจากแนวเพลงที่ต่างกันแล้ว เสียงร้องของมายด์ในแต่ละช่วงก็ไม่เหมือนกัน ช่วงแรก ๆ จะร้องออกมาด้วยเสียงแหลมสูง แต่ช่วงหลังเราสังเกตได้ว่าเธอเริ่มใช้แชแนลเสียงที่ทุ้มขึ้น มายด์เล่าว่าก่อนหน้านี้เธอยังต้องค้นหาวิธีการร้องที่ออกมาดีที่สุด ก็ต้องศึกษาเทคนิคมากมายอย่างการร้องและยิ้มไปเพราะไม่ให้เสียงเพี้ยน ซึ่งนั่นทำให้ช่องเสียงออกมาแหลม รวมถึงเพลงอย่าง ‘Pluto Bay’ ก็เกิดจากการเขียนเพื่อให้เพราะ แต่ไม่ได้คำนึงว่าคนร้องจะร้องไหวไหม มายด์เล่าว่าเป็นคีย์ที่ต่ำที่สุดและสูงที่สุดที่เธอสามารถร้องได้แล้ว ไม่สามารถดรอปหรือเพิ่มได้อีก ในภายหลังเมื่อช่วงที่ทำเพลง ‘Once Upon the End’ มายด์ก็รู้สึกว่าควรจะให้ทุกอย่างดูสบายขึ้น เธอจึงใช้เสียงที่ทุ้มและเป็นธรรมชาติจนออกมาเป็นเพลงแบบที่เราได้ฟังกัน (มิวสิกวิดิโอ มายด์เป็นคนออกแบบตัวละครและแทนเป็นคนอนิเมทขึ้นมา)

แต่สิ่งที่ทำให้ความหลากหลายในเพลงของพวกเขาเกาะกลุ่มกันน่าจะเป็นเนื้อหาของเพลง ที่มายด์จะเอาประสบการณ์ในอดีตมาพูดถึงเพราะเป็นเรื่องที่เธอรู้สึกว่าสามารถสื่อสารออกมาได้ดีที่สุด และส่วนมากคือเรื่องสุขภาพจิต 

“มายด์ไม่ค่อยปิดบังเรื่องนี้แล้วก็พยายามบอกไปตามตรง เหมือนเป็นการบำบัดตัวเองไปด้วย เป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่เห็นจะเป็นไรเลยถ้ารู้สึกแบบนี้ ซึ่งก็น่าจะมีหลาย ๆ คนที่ไม่ได้พอใจในตัวเอง มี imposter syndrome รู้สึกว่าไม่ดีพอ ก็เลยเขียนออกมาเหมือนบอกคนอื่นว่าเราก็เข้าใจความรู้สึกนั้นเหมือนกัน”

นั่นก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งจากการที่มายด์มีความสนใจเรื่องสุขภาพจิต ก่อนหน้านี้ในปี 2019 เธอเคยทำงานกับ OOCA เว็บไซต์ให้คำปรึกษาพูดคุยกับจิตแพทย์และนักจิตวิทยา งานปัจจุบันที่เธอทำก็เป็นโครงการเพื่อสังคมเกี่ยวกับการสอนพ่อแม่เรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวก ซึ่งเธอมีส่วนในการพัฒนาคอนเทนต์ความรู้ต่าง ๆ และก็ช่วยพัฒนาโปรดักต์ใหม่ในอนาคต ส่วนงานการแสดงที่เธอกำลังออนแอร์ตอนนี้ในช่อง Net PAMA ‘The Broken Bond เด็กดีมีปัญหา’ เธอก็รับบทนักจิตวิทยาในโรงเรียน ทำให้การที่เธอกำลังศึกษาปริญญาโทด้านจิตวิทยาเด็กในตอนนี้มีส่วนช่วยมาก ๆ

“เราอินเรื่องนี้มาก ๆ แล้วตอนทำ OOCA ก็ออกตัวแรงว่าถ้าใครไม่สบายใจก็ทักมาคุยได้ เราเปิดมาก ไม่ได้ set boundaries ของตัวเอง ทำให้ภาพของเราในตอนนั้นเหมือนคนเข้าหาง่าย เวลาใครมาถามเรื่องสุขภาพจิตบางทีเราไม่ได้มีข้อมูลมากพอ ตอนนี้เลยอยากรู้สิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ วันไหนใครมาปรึกษาเราเราสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเขาได้ แล้วเราก็อยากสนับสนุนเรื่อง positive communication การสื่อสารเชิงบวกมาก ๆ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของการมี healthy relationship ที่จะทำให้เราไม่เผลอทำร้ายกัน”

ส่วนคนที่รอผลงานอัลบั้มเต็มของ mindfreakkk คาดว่าเราก็จะได้ฟังกันในช่วงกลางปี ซึ่งจะออกมาในชื่อ ‘Museum of my Mess’ โดยมายด์เล่าว่าเป็นตัวแทนความยุ่งเหยิงวุ่นวายของจิตใจรวมถึงแนวเพลง เพราะจะได้รวมเอาทุกเพลงที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้มาไว้ และมีเพลงใหม่ ๆ เข้ามาด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเพลงที่บันทึกโมเมนต์สำคัญในชีวิตของพวกเขาอย่าง

‘Navy Blue’ นับว่าเป็นเพลงแรก ๆ ที่แทนออกมาเบื้องหน้าร่วมกับมายด์ ซึ่งอันที่จริงเพลงนี้เป็นเพลงเก่าที่นำมาปัดฝุ่นใหม่เล่าจากประสบการณ์ช่วงที่ยังเรียนอยู่และต้องเดินทางไปทำงานคนเดียวทั้งรู้สึกไม่ปลอดภัยและสิ้นหวัง รวมถึงสะท้อนใจว่าการทำงานที่ได้เงินหลาย ๆ ครั้งเหมือนต้องขายวิญญาณ แต่ระหว่างทางเป็นทุ่งหญ้า และมีไฟนีออนที่ถูกจัดวางแบบแปลกตาก็ทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งนี้สวยงามและโล่งใจขึ้นมาบ้าง คำว่า ‘น้ำเงิน’ ที่เคยหมายถึงเงินและน้ำตาในเพลงภาษาไทย เลยถูกเปลี่ยนมาเป็น Navy Blue เวอร์ชันใหม่ด้วยปลายปากกาของมายด์

และอีกเพลงคือเพลงพิเศษที่เคยนำมาเล่นสดแค่ครั้งเดียว นั่นเป็นเพลงที่มายด์แต่งให้แทนตอนวันครบรอบที่คบกันในปีแรก เป็นเพลงแรกที่มายด์แต่ง เล่นกีตาร์ และร้องเอง แต่พอส่งให้แทนฟังเขาก็ยุ่งมาก ๆ ในช่วงนั้นเลยฟังไม่จบทำให้พลาดคีย์สำคัญของเพลงไป และนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเป็นวันครบรอบ เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตแต่ก็ผ่านมาด้วยดี (และถูกจับเอามาลงในอัลบั้มไปซะเลย) จนตอนนี้พวกเขาคบกันมาได้จะ 10 ปีแล้ว

“เราก็ตั้งใจว่าอัลบั้มนี้จะทำให้คนเห็นถึงหลากหลายมุมของเราด้วย เข้าใจเวลาที่คนปล่อยอัลบั้มต้องไปในทางเดียวกัน คอนเซ็ปต์เดียวกัน เราไม่ได้มีความมุ่งมั่นขนาดนั้น ขี้เบื่อมาก ๆ และความเละเทะเนี่ยคือตัวเรามากที่สุดแล้ว เอาชื่อนี้เป็นชื่ออัลบั้มไปเลย”

เราขอทิ้งท้ายบทความนี้ไปด้วยการย้อนไปถึงชื่อศิลปินของมายด์ ที่ว่าอันที่จริงเธอเป็นคนขี้ freak out แบบสุด ๆ เลยอยากรู้ว่าจากความสำเร็จที่ผ่านมา ทั้งที่ได้ไปเล่นงาน Neon Oasis ที่ไต้หวัน ร่วมงานกับค่าย Tokimeki Records ที่ญี่ปุ่นมีเพลงออกมา 2 เพลง รวมถึงแต่งเพลง ‘Swapping Socks’ ร่วมกับ ANDR แถมจะได้เล่นในงาน Hola Shaka และ BEDROOM FEST ซึ่งนับว่ากำลังไปได้สวยมาก ๆ เลยอยากรู้ว่าตอนนี้เธอหาย freak out หรือยัง 

“ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าหายแล้ว แต่มี progress อย่างน้อยเรามี baby steps ที่ทำให้เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้นและ freak out น้อยลง นั่นน่าจะพอแล้ว”

ติดตามผลงานของ mindfreakkk ได้ ที่นี่

+ posts

อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy