Simile Land (สิมิเล่แลนด์) คงไม่ใช่ชื่อที่นักฟังเพลงในแบบเรา ๆ คุ้นหูมากนัก แถมหลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเพิ่งมาเล่นที่งาน Bangkok Design Week เมื่อเดือนที่แล้วที่สำนักงาน CEA แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะได้รู้จักวงอินดี้ร็อกหน้าใหม่จากเกาหลีใต้วงนี้ เพราะพวกเขาอาจจะกลับมาที่เมืองไทยเร็ว ๆ นี้ก็ได้
จากจุดเริ่มต้นในซีนดนตรีนอกกระแส สู่การคว้าแชมป์เวทีประกวดอินดี้มากมายจนได้ไปยืนอยู่บนเวที Busan International Rock Festival ในฐานะวงหน้าใหม่ที่น่าจับต่อมอง ด้วยซาวด์ที่ผสมผสานหลากหลายแนวกับโชว์ที่เต็มไปด้วยพลังงานบวกสุดมัน ที่เปลี่ยนทุกโชว์ให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งรอยยิ้ม และเขาอยากส่งความรู้สึกนี้ออกไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
Space Invader นี้ พวกเราได้พูดคุยทำความรู้จักกับพวกเขาถึงเส้นทางดนตรีที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเท่าไหร่ แรงบันดาลใจทางดนตรี และมุมมองทางดนตรีที่พุ่งพล่านสุดขีดของพวกเขาต่อโลกใบนี้

ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทย รู้สึกยังไงบ้างที่ได้มาเล่นที่นี่เป็นครั้งแรก
พวกเราเล่นที่เกาหลีเป็นหลัก แล้วโชว์ล่าสุดที่เล่นนอกเกาหลีก็คือที่เวียดนาม! รอบนี้ได้มาเล่นที่ Bangkok Design Week ที่ไทย ตื่นเต้นมาก ๆ เลย!
คติประจำวงของพวกคุณคือ “We Wanna Make You SMILE!!” อยากรู้ว่าความคิดนี้มาจากไหน แล้วมันส่งผลต่อดนตรีกับการแสดงของพวกคุณยังไงบ้าง
เวลาพวกเราเล่นสด สิ่งที่ได้ยินจากคนดูบ่อยมากก็คือ “ชอบที่ SIMILE LAND ดูสนุกจริง ๆ บนเวที มันทำให้เรามีความสุขไปด้วย” พอได้ยินแบบนี้ เราก็รู้เลยว่าอยากให้ดนตรีและโชว์ของพวกเราส่งต่อความสุขให้ทุกคน แม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยจากชีวิตประจำวันแค่ไหนก็ตาม นี่เลยเป็นที่มาของม็อตโต้ของพวกเรา
ศิลปินหรือวงดนตรีไหนที่มีอิทธิพลต่อแนวทางดนตรีของพวกคุณมากที่สุด
เป็นคำถามที่น่าสนใจเลยนะ เพราะแต่ละคนในวงมีรสนิยมทางดนตรีที่แตกต่างกันสุด ๆ อย่าง ซูวอน (มือเบส) ชอบแนว metal กับ djent, เซวอน (มือกีตาร์) จะออกไปทาง blues, ส่วน ลัฟฟ่า (มือคีย์บอร์ด) ก็อินกับดนตรีแนว new age
ด้วยอิทธิพลที่หลากหลายแบบนี้ ทำให้ Simile Land ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่แนวใดแนวหนึ่ง แต่เราเน้นไปที่การค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ทางดนตรีของตัวเองให้ชัดเจนมากขึ้น
อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการทำ EP แรก Cheol-Su
EP แรกของพวกเราชื่อว่า Cheol-Su ปล่อยไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยอัลบั้มนี้จะเล่าเรื่องของตัวละคร Cheol-Su ซึ่งเป็นคนที่ภายนอกดูสดใส ร่าเริง แต่จริง ๆ แล้วข้างในกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเศร้า เพราะงั้นเพลงในอัลบั้มนี้ส่วนใหญ่จะมีจังหวะสนุก ๆ ฟังแล้วอยากลุกขึ้นเต้น แต่ถ้าลองฟังเนื้อเพลงดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกังวลและมุมมองที่ค่อนข้างหม่น ๆ แฝงอยู่
พวกเราเคยพูดในสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า เรากำลังทำซีรีส์ EP ทั้งหมด 3 ภาค โดยเริ่มจาก Cheol-Su ที่เน้นเพลงสดใส ฟังแล้วรู้สึกมีพลัง ตามมาด้วย Young-Hee ที่จะให้ฟีลลึกลับ ดรีมมี่ และออกไปทางไซเคเดลิก ส่วนภาคสุดท้าย Badoogi จะเป็นเพลงที่ฟังง่ายและให้ความรู้สึกอบอุ่น
เพราะ Cheol-Su เป็นเหมือนก้าวแรกของจักรวาล Simile Land ที่เรากำลังสร้างขึ้น หวังว่าทุกคนจะรอติดตาม EP ต่อไปของพวกเราด้วยครับ
เพลงอย่าง Universe Party และ Plant Star ผสมผสานหลายแนวเพลงเข้าด้วยกัน พวกคุณมีวิธีการทำเพลงแนวฟิวชั่นนี้ยังไง
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ สมาชิกในวงเรามีแนวเพลงที่ชอบและทิศทางทางดนตรีที่แตกต่างกันมาก เพราะงั้นเวลาทำเพลง เราต้องใช้เวลาเยอะพอสมควรในการหาจุดลงตัวระหว่างความชอบของแต่ละคน ปกติ SIMILE ซึ่งเป็นนักร้องนำของเราจะเป็นคนแต่งเพลงเป็นหลัก พอพวกเราฟังเดโม่ที่เขาทำขึ้นมา มันมักจะออกมาดูไม่ชัดเจนว่าเป็นแนวไหนแน่ หรือบางครั้งก็ผสมผสานหลายแนวเข้าด้วยกันอยู่แล้ว
เพราะแบบนี้ ขั้นตอนการโปรดิวซ์เพลงของเราจะค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร เราจะมานั่งคุยกัน ลองเล่นกันจริง ๆ แล้วดูว่าอะไรเวิร์กหรือไม่เวิร์ก จนค่อย ๆ ตกผลึกออกมาเป็นเพลงที่สมบูรณ์ พอแต่ละคนใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์ของเราเอง อย่าง Universe Party และ Plant Star นั่นเอง
อะไรคือความท้าทายหลักที่พวกคุณเจอในฐานะวงใหม่ในวงการอินดี้ของเกาหลีใต้
ตอนที่เริ่มก่อตั้งวง เป้าหมายแรกของเราคือการสร้างเพลงของตัวเองให้สำเร็จและปล่อยอัลบั้มแรกออกมาให้ได้ หลังจากนั้น เราก็หันไปโฟกัสกับการเข้าร่วมการแข่งขันดนตรีต่าง ๆ เวทีแรกที่เราลงแข่งคือ MUNIV Concert งานที่จัดโดยกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย จากนั้นเราก็ไปแข่งที่ Indiestance ซึ่งเป็นออดิชั่นของวงอินดี้ที่จัดโดย Gyeonggi Content Agency และต่อด้วย Rookies on the BU-ROCK ซึ่งเป็นออดิชั่นของ Busan International Rock Festival
แน่นอนว่าเป้าหมายของเราคือการชนะ (เงินรางวัลก็สำคัญ!) แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราอยากให้คนได้ฟังเพลงของเรามากขึ้น และรู้สึกเชื่อมโยงกับมัน ซึ่งสุดท้ายเราก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศจาก MUNIV และ Indiestance มาได้ และได้อันดับ 2 จาก Rookies on the BU-ROCK
หลังจากนั้น วงของเราก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ได้รับความสนใจจากทั้งผู้ฟังทั่วไป ผู้จัดงาน และสถานที่จัดแสดงดนตรี ทำให้ตอนนี้เราได้มีโอกาสขึ้นเวทีแสดงสดมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราตื่นเต้นและขอบคุณมาก ๆ
ในฐานะวงจากเกาหลีใต้ พวกคุณนำวัฒนธรรมของตัวเองมาใส่ในเพลงยังไง และแฟนเพลงต่างชาติรู้สึกเชื่อมโยงกับมันแบบไหนบ้าง
ชื่อของอีพีแรกของเรา Cheol-Su มาจากชื่อผู้ชายที่พบได้บ่อยในแบบเรียนภาษาเกาหลี ส่วน Young-Hee ก็เป็นชื่อผู้หญิงที่เจอบ่อย และ Badoogi ก็เป็นชื่อที่ใช้เรียกน้องหมาในหนังสือเรียนพวกนั้น แต่จริง ๆ แล้ว เพลงของเราไม่ได้เน้นนำเสนอวัฒนธรรมเกาหลีแบบตรง ๆ เท่าไหร่ สิ่งที่เราต้องการสื่อคืออารมณ์และประสบการณ์ในชีวิตที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม
เช่น เพลง Find My Kid ซึ่งเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของ SIMILE เล่าถึงการตามหาตัวเองในวัยเด็กที่เคยสนุกกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ค่อย ๆ หายไปเมื่อเวลาผ่านไป หรือเพลง Hoo! ha.. ที่พูดถึงการใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการโดยไม่ต้องสนใจเสียงของคนอื่น
แนวคิดบางอย่างในเพลงของเราจะสะท้อนประสบการณ์ของผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญกับสังคมในเกาหลีใต้เป็นหลัก แต่เราก็เชื่อว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นสากล คนจากทั่วโลกสามารถเข้าใจและรู้สึกเชื่อมโยงกับมันได้ แม้ว่าแฟนต่างชาติอาจไม่เข้าใจความหมายของเนื้อเพลงในทันที เราคิดว่าพวกเขายังสามารถสัมผัสถึงอารมณ์ของเพลงได้ ไม่ว่าจะเป็นผ่านการแปลเนื้อเพลงหรือจากการชมโชว์สดของเรา ที่พลังของดนตรีสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด จริง ๆ แล้ว เราเคยได้รับ DM จากแฟนเพลงเวียดนามที่บอกว่าพวกเขาชอบเพลงของเรามากด้วยนะ (หัวเราะ)

ตลอดเส้นทางดนตรี พวกคุณเจอความท้าทายอะไรบ้าง และมันมีผลต่อการเติบโตของวงยังไง
เราคิดว่าคำถามนี้น่าจะให้ SIMILE ซึ่งเป็นคนแต่งเพลงและกำหนดทิศทางของ Simile Land เป็นคนตอบดีที่สุด
SIMILE: ผมเป็นคนที่มีความกระหายในด้านสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี แต่รวมไปถึงองค์ประกอบด้านภาพด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ วิดีโอ หรือ VJ performance เพราะแบบนั้น ผมเลยตั้งใจศึกษาเรื่องดีไซน์และพยายามทำงานร่วมกับมืออาชีพในสายงานนี้ ซึ่งก็ช่วยให้วงของเรามีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น
ในยุคที่อุตสาหกรรมดนตรีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พวกคุณรักษาสไตล์ของตัวเองยังไง ในขณะที่ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์โลก?
จริง ๆ แล้ว เราไม่ได้ตามเทรนด์ดนตรีของโลกขนาดนั้นนะ เรามองว่า Simile Land สามารถเป็นผู้สร้างเทรนด์ใหม่ ๆ หรืออาจจะกลายเป็นกระแสหลักของตัวเองได้เลย เพราะแบบนั้น เราเลยไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวดนตรีของเราให้เข้ากับสิ่งที่เป็นกระแสอยู่แล้ว
แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ปรับตัวเลยนะ เราก็พยายามใช้โซเชียลมีเดียและ YouTube อย่างเต็มที่ ทำคอนเทนต์หลาย ๆ แบบเพื่อให้เข้าถึงแฟนเพลงได้มากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรายังคงเป็นดนตรีและโชว์
เป้าหมายต่อไปของวงคืออะไร?
คิดว่าถามสมาชิกแต่ละคนก็คงได้คำตอบไม่เหมือนกันเลย! (หัวเราะ) งั้นมาลองถามแต่ละคนดูดีกว่า ว่าอยากทำอะไรต่อไป
SIMILE (ร้องนำ, กีตาร์ริธึ่ม): อยากเป็นเฮดไลน์ของเทศกาลดนตรี!
Jang Su Won (เบส): อยากไปทัวร์ต่างประเทศ
Son Se Won (กีตาร์ลีด): อยากซื้อกีตาร์โดยไม่ต้องคิดเรื่องเงิน
Laffa (คีย์บอร์ด): อยากเช่า Gocheok Dome แล้วจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวของวง!
Kim Kyoung Hoon (กลอง): อยากให้วงเราเล่นดนตรีด้วยกันไปอีก 20-30 ปี หรือมากกว่านั้น!
ฝากอะไรถึงแฟน ๆ ชาวไทยที่เพิ่งรู้จักพวกคุณจากงาน Bangkok Design Week หน่อย!
สวัสดีแฟน ๆ ชาวไทย และว่าที่แฟนเพลงของพวกเรา หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับดนตรีของเรา และฟังกันเยอะ ๆ นะ แล้วก็อย่าลืม stream เพลงพวกเราเยอะ ๆ ด้วย มาเป็นเด็กอีกครั้งกันเถอะ สนุกสนาน ไร้กังวล และเต็มไปด้วยความสุข! ขอบคุณมาก ๆ ครับ
ติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว ฟังเพลงใหม่ของ Simile Land ก่อนใคร ที่ Instagram


ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา