Primavera Sound 2023 “Created in Barcelona”
Primavera Sound คือเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นในเมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปนเป็นประจำทุกปีและมีมาอย่างยาวนาน ช่วงปีหลัง ๆ งานได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามจึงมีการขยับขยายไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทั้ง ปอร์โต โปรตุเกส (ปีแรก ๆ เรียกว่า NOS Primavera) เซาเปาโล และ บัวโนส ไอเรส บราซิล, ซานติอาโก ชิลี, ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา และในปีนี้จะมีอาซุนซิออน ปารากวัย และ โบโกตา โคลอมเบีย เพิ่มเข้ามา ถือว่าเป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ในยุโรปและอเมริกาใต้ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยเมื่อปี 2020 ทางงานก็เตรียมจะจัดงานฉลองครบรอบ 20 ปีอย่างยิ่งใหญ่แต่ต้องมาเจอโควิดเสียก่อน งานเลยถูกเลื่อนมาจัดในปี 2022 แบบจุก ๆ เน้น ๆ สองสัปดาห์ไปเลย
สำหรับเราเองก็เพิ่งจะเคยไปเฟสติวัลนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2018 แต่ก่อนเข้าใจว่าเฟสติวัลในเอเชียอย่าง Fuji Rock กับ Summer Sonic ที่ญี่ปุ่น, Laneway กับ Neon Lights ที่สิงคโปร์ หรือ Clockenflap ที่ฮ่องกงยังไงก็ถูกกว่า แต่พอรุ่นพี่บิลด์ว่า ‘มึง ไป Primavera เหอะ เดินสนุก ลุกนั่งสบาย’ ก็จริงของเขามาก เทียบกันแล้วทั้งค่าบัตร ไลน์อัพที่เผลอ ๆ จะได้ดูวงที่ไม่น่าจะได้มาทัวร์เอเชีย รวมถึงค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิต เฟสติวัลยุโรปถูกกว่าประเทศเอเชียที่เจริญแล้วเหล่านี้อีกแก มันเป็นมายาคติว่าแพงเพราะค่าตั๋วเครื่องบินนี่แหละ ซึ่งช่วงที่เราไปก็ซื้อสายการบิน Royal Jordanian ราคาอยู่ที่ 18,890 เท่านั้น แต่ layover นานหน่อย สรุปว่าคิดถูกมากที่ไป ไปมันคนเดียวเนี่ยแหละ! อากาศดี บ้านเมืองดี เที่ยวง่าย อาหารอร่อย กลับมาผิวแทนสวย ส่วนวงที่ได้ดูก็พีค ๆ ทั้งนั้น จบงานแล้วประทับใจมาก คิดว่าจะมาให้ได้ทุกปีถ้าไลน์อัพถูกใจ
ตามอ่านรีวิวปี 2018 ได้ที่นี่
https://www.fungjaizine.com/article/live_review/primavera-sound-1 (Belle and Sebastian และ Primavera als Clubs งานอุ่นเครื่องตามคลับเล็ก ๆ รอบเมือง)
https://www.fungjaizine.com/article/live_review/primavera-sound-2 (Warpaint, Unknown Mortal Orchestra, Björk)
https://www.fungjaizine.com/article/live_review/primavera-sound-3 (Haim, The National, The Breeders, Ride)
https://www.fungjaizine.com/article/live_review/primavera-sound-4 (Jane Birkin, Arctic Monkeys, Slowdive, Lorde, A$AP Rocky, Beach House)
จำได้ว่าตอนที่ประกาศไลน์อัพครบรอบ 20 ปีกลับไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แล้วก็มาเจอโควิดปิดประเทศอีกทำให้ต้องรอไปอีกหลายปี แต่พองานได้จัดก็มีเพื่อน ๆ เราไปกันหลายคน เพื่อนบอกว่าคนเยอะมาก ไม่เคยเจอคนเยอะขนาดนี้มาก่อน (คนดูน่าจะอั้นกันแหละเนาะ) เลยรู้สึกว่าตัดสินใจถูกที่รอจะมาในปี 2023 นี้ ซึ่งวันที่ทางงานประกาศไลน์อัพอย่างเป็นทางการก็มีทั้งคนที่ชอบใจและผิดหวัง (เรียกว่าลุ้นมาก พี่แกเล่นทำเป็นวิดิโอปล่อยชื่อศิลปินมาทีละชื่อ ซึ่งกว่าจะครบก็ทำหลายคนบ่นว่า ‘เสียเวลาโว้ย!’) แต่เราคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ตื่นเต้นที่จะได้ไปดู เพราะมีทั้ง Black Country New Road, Channel Tres, Daphni, Death grips, Depeche Mode, Four Tet, Fred Again…, Gilla Band, Halsey, Jockstrap, Kelela, Kendrick lamar, Kyary Pamyu Pamyu, Le Tigre, Loyle Carner, Nation of Language, Nia Archives, Pet Shop Boys, Pusha T, St. Vincent, Skrillex, Sudan Archives, Surf Curse, The Beths, The Voidz, Turnstile, Yves Tumor แล้วก็มีวงรักเป็นการส่วนตัวที่ยังไงชาตินี้ต้องขอดูอย่าง John Cale (สมาชิกก่อตั้ง The Velvet Underground ที่ยังมีชีวิตอยู่) Blur, Overmono, The Moldy Peaches, Swans, Caroline Polachek ยิ่งตอนหลังประกาศว่า New Order จะมาร่วมไลน์อัพก็ดีใจแบบสุด ๆ (ทีแรกมีคนแซวว่าเป็น The National หรือเปล่าเพราะเขามีเพลงชื่อ ‘New Order T-Shirt’ ซึ่งทำ merch ออกมาขายเป็นลายเสื้อ New Order สร้างความปั่นป่วนให้แฟนเพลงพอสมควร) ทั้งหมดทั้งมวลเลยทำให้ซื้อบัตรต่อจากรุ่นพี่ที่กดราคา blind ticket แต่ไม่อยากไปแบบไม่คิด ส่วนงาน Primavera a la Ciutat ที่เมื่อก่อนเรียกว่า Primavera als Clubs ที่จัดในคลับนอกเวนิวก่อนวันจริง ส่วนใหญ่คงเป็นวงที่บุ๊คมาเล่น แต่ไม่สามารถหาสลอตลงเฟสติวัลใหญ่ได้ มีทั้ง black midi, Molchat Doma, Goat Girl, Crack Cloud, La Paloma, Black Country New Road, Melody’s Echo Chamber, Pup, Far Caspian, Yune Pinkuที่อยากดูทั้งนั้น (แต่สุดท้ายไม่ได้ดูเพราะมัวแต่ไปเที่ยวเกาะเมืองอื่น ฮือ)
ไปเฟสติวัลต่างประเทศไม่ยากอย่างที่คิด แค่ต้องมีตัง! (เฮือก) มาดูกันว่าต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไหร่ในทริปนี้
- บัตรเข้างานแบบ full pass ราคาอยู่ที่ประมาณ 11,000 บาท สามารถเข้างานก่อนวันจริงได้ด้วย แต่ต้องไปตบตีแย่งชิงบัตรกันในแอปที่ท่านจะแจ้งรายละเอียดอยู่เรื่อย ๆ
- ตั๋วเครื่องบิน นี่กดของ Emirates ไป อาหารอร่อย layover ไม่ทรมาน ถ้าซื้อช้าจะโดนที่ราคา 35,110
- วีซ่าเชงเก้นทำได้ที่ BLS อยู่ที่ตึก Interchange อโศก ราคาอยู่ที่ 3,859 บาท ต้องชำระเป็นเงินสดเท่านั้น และต้องจองสายการบินกับที่พัก พร้อมทำแพลนเที่ยว มีหนังสือรับรองการเงิน สเตทเมนต์ธนาคาร กับประกันเดินทางให้เรียบร้อย (เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น ดูได้ที่เว็บไซต์เขาเลย)
- ที่พักจะสะดวกโรงแรม โฮสเทล airbnb แล้วแต่งบจะอำนวย นี่ไปกับเพื่อนสองคนหาร airbnb กันตกคนละ 8700 สำหรับ 4 คืนในบาร์เซโลน่า แนะนำให้รีบจองเพราะที่ใกล้งานราคาถูกจะเต็มไวมาก
หลังจากผ่านมรสุมทางการเงิน ลางาน และวางแผนทุกอย่างอย่างรัดกุม ก็ได้เวลาบินไปยังน่านฟ้าคาตาลุนย่ากันแล้ว บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมากเพราะนี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในรอบสามปี และยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ตกหลุมรักครั้งแล้วครั้งเล่า
Day 0 : 31 May 2023
เรากับเพื่อนเดินทางกลับมาจาก Mallorca แล้วรีบพุ่งตัวไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้แถว Universitat (น่าหงุดหงิดที่สนามบินไม่เปิดที่รับฝากกระเป๋าสักที) ก่อนจะไปเช็กอินที่พักแล้วรีบพุ่งออกมายังตัวงานเพื่อดู Pet Shop Boys ที่มาเล่น Opening Night ซึ่งเป็นวันที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาชมฟรีเพียงต้องลงทะเบียนก่อนในแอป วงอื่น ๆ ที่ร่วมเล่นในวันนี้ก็มี La Paloma, Dagger Moth, Jake Bugg, Guatemala, Confidence Man, European Vampire แต่เรากลับเข้ามาบาร์เซโลน่าไม่ทันจริง ๆ เลยอดไป ตอนนั้นเป็นเวลาสองทุ่มกว่า ๆ ฟ้ายังสว่างอยู่เลย
เราขึ้นรถไฟสาย L4 ห่างจากบ้านไปประมาณไม่กี่ป้ายก็มาถึง Parc de Forum ซึ่งเป็นที่จัดงาน และเดินตรงมายังเวที Amazon Music ที่อยู่เกือบด้านหน้าสุด พวกเราเข้ามาทันดู Pet Shop Boys แบบพอดิบพอดีโดยวงขึ้นเล่นเวลาสามทุ่มยี่สิบ สังเกตได้ว่าคนดูส่วนใหญ่บริเวณนั้นคือคนผมสีดอกเลา อายุ 40+ ทั้งสิ้น พวกลุงป้าน้าอาดูจอยกันมากเพราะงานได้ให้บรรยากาศคึกครื้น เต็มไปด้วยผู้คนที่รักเสียงเพลง เหมือนตอนพวกเขายังเป็นหนุ่มสาวเมื่อ 20 ปีที่แล้วก็เป็นได้
สิ้นเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกที่เปิดคลอ วงก็ขึ้นมาบนเวทีพร้อมเพลงแรกที่เปิดมาก็ทำเอาเรากรี๊ดแตก นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ฟัง ‘Suburbia’ แล้วหนนี้ก็ได้ฟังแบบสด ๆ ด้วย ขอยาดน้ำตาซึม สองคนมากันในคอสตูมอัลบั้มชุดล่าสุด เป็นหน้ากากเหมือนรูปกระต่าย จากนั้นพวกท่านก็เล่นเพลง ‘Can You Forgive Her?’ และถอดหน้ากากออกพร้อมตะโกน ‘บาร์เซโลน่าาาาาา’ เสียงเฮกึกก้องไปทั่วบริเวณเวที Amazon Music และเล่นเพลง ‘Opportunities (Let’s Make Lots of Money)’ จากนั้นก็พูดทักทายคนดูอย่างเป็นกันเอง แล้วบรรเลงเพลงที่หลายคนรอคอยนั่นคือ ‘Where the Streets Have No Name (I Can’t Take My Eyes Off You)’ พอท่อนแซมพ์ขึ้นมาก็ได้ยินฝูงชนร้องตามอย่างพร้อมเพรียง และเป็นเพลง ‘Rent’, ‘I Don’t Know What You Want but I Can’t Give It Any More’ ต่อด้วย ‘So Hard’
ดูโอ้รุ่นเก๋าจะหลบจากเวทีไปเปลี่ยนชุด ตอนนี้พวกเขากลับขึ้นมาพร้อมสูทดำอีกชุดนึง พร้อมกับฟูลแบนด์มาเติมให้ซาวด์เมื่อครู่ที่ยังไม่เข้าที่มีความเข้มข้นขึ้น และเล่นเพลง ‘Left to My Own Devices’ จากนั้นก็พูดขอบคุณเป็นภาษาสเปน แล้วเริ่มเข้าเพลง ‘Domino Dancing’ ตอนนี้วิชวลด้านหลังเปลี่ยนเป็นกราฟิกสีเหลืองสุดเท่ฉาบไปทั้งเวที และเป็นเพลง ‘Love Comes Quickly’, ‘Paninaro’ และเพลงฮิต ‘You Were Always on My Mind’ เห็นได้ว่าถูกใจคนดูรุ่นใหญ่กันเป็นแถบ ๆ
สังเกตว่าวงไปเปลี่ยนเสื้อมาอีกแล้ว พอกลับขึ้นมาก็เริ่มพูดเข้าคอนเซ็ปต์ ‘Dreamland’ และเล่นเพลงชื่อเดียวกัน จากนั้นก็เล่น ‘Heart’ ต่อด้วย ‘It’s Alright’ และ ‘Vocal’ ก่อนเสิร์ฟเพลงฮิต ‘Go West’ ที่ทุกคนเฮลั่นอย่างกับเชียร์บอล คุ้น ๆ ว่าเป็นเพลงบอลโลกตอนสมัยเราเด็ก ๆ ไหมนะ ตามด้วยอีกเพลงดัง ‘It’s a Sin’ แล้วก็เข้าช่วงอังกอร์ 2 เพลงฮิตที่เรารอฟังแล้วพวกท่านยังไม่เล่น ตอนแรกเกือบจะเดินออกแล้วเพราะหิว แต่ใจแข็งเพราะไม่ได้จริงอะ อยากฟัง แล้วก็เป็นอย่างที่หวังเมื่อท่านเล่น ‘West End Girls’ กับ ‘Being Boring’ แบบสด ๆ ไม่ได้ดูตอนนี้ก็ไม่รู้จะได้ดูตอนไหนอีก ฮือ แต่ถึงวงจะอายุเยอะกันแล้วก็ยังเล่นจอย ๆ กันอยู่นะ รู้สึกเป็นบุญหูมากที่ได้ฟัง
จบงานวันแรกไปแบบเบา ๆ เราชอบมากที่ตามตารางบอกว่าเล่น 9.20 PM จบห้าทุ่ม ก็เริ่มและจบตามนั้นเป๊ะ ๆ ส่วนการซื้อขายเบียร์ก็สะดวกมาก ๆ สังเกตว่าหลังโควิดเขาใช้ cashless กันเยอะ สามารถแตะบัตรเครดิตเอาเลย ไม่ต้อง RFID แลกเงินวุ่นวาย แล้วก็ถ้าแถวเบียร์ยาว ก็จะมีคนสะพายถังเบียร์มาเดินขายแต่จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ปีนี้แถวเบียร์ไม่ยาวเลยเพราะมีจุดบริการถี่มาก ขอบคุณ Estrella Damm ค่ะ สำหรับรีวิวงานวันแรกจะมาเมื่อไหร่ ขอยังไม่คอนเฟิร์มนะ เพราะกว่าจะเขียนวันน้ำจิ้มนี่ได้ก็ยังไม่หายเจ็ตแล็กดีเลย 🫠