ความตั้งใจว่าจะนอนเยอะ ๆ เพื่ออยู่โต้รุ่งในงานวันสุดท้ายเป็นอันล้มเหลว เมื่อแถวบ้านมีงานประจำปีที่เรียกว่า ‘Coros de la Barceloneta’ หรือ ‘Curs Muts’ ที่คนจะรวมตัวกันแต่งตัวธีมใครธีมมัน แล้วแห่ขบวนเต้นพร้อมเล่นดนตรีไปรอบ ๆ ถนนในย่าน Barceloneta คนที่ถึงบ้าน 7 โมงอย่างพวกเราสะดุ้งตื่นด้วยเสียงแตรและกลองราวกับถูกกระชากวิญญาณ แล้วเสียงก็ดังอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งเช้าจนเราไม่สามารถนอนต่อได้ อาบน้ำแต่งตัวลงไปเต้นกับเขาบนถนนด้วยซะเลย!
อ่านตอนก่อนหน้านี้ได้ที่นี่ Day 0, Day 1, Day 2
Day 3 : 3 June 2023
วันนี้เรากับเพื่อนก็แยกกันก่อนเข้างานเหมือนเดิม ปล่อยให้เขาไปช็อปของวินเทจที่อีกตลาดนึงส่วนเรารีบมาที่งานตั้งแต่ประตูยังไม่เปิดเพราะกะว่าจะไปต่อคิวเข้า Auditori Santander หรือหอประชุมของ Parc del Forum เนื่องจากว่าวันนี้มีโชว์ที่เราอยากดูมาก ๆ อย่าง John Cale ที่จะมาแสดงที่นี่ตอนเวลาทุ่มครึ่ง จากที่ปี 2018 เราพลาดโชว์ของ Spiritualized! เพราะมัวแต่ไปเที่ยวเมืองอื่นแล้วกลับมาช้าจนที่นั่ง 300 ที่นั้นเต็มอย่างรวดเร็ว รอบนี้จะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
พอนั่งรอไปสักพักจนประตูเปิด เราเดินดู merchandise ของงานซึ่งเป็นทางผ่านพอดี เสื้อ ถุงเท้า กระเป๋าผ้า ถ้วยเซรามิก สังกะสี ไฟแช็ก น่ารักไปหมด เลือกไม่ได้เลยสอยถุงเท้ามาสองลาย ส่วนเสื้อวงก็กดเสื้อ Blur รุ่นที่เป็นอัลบั้มใหม่มา เพราะเสื้อรุ่น Wembly Tour มันดูเหมือนโลโก้พรรคการเมืองหนึ่งในบ้านเราไปหน่อย แล้วงานนี้ Pull & Bear เป็นสปอนเซอร์ด้วยก็เลยมีบูธให้นั่งพักและเสื้อผ้าคอลเล็กชันพิเศษที่ทำร่วมกับ Primavera Sound น่ารักมาก ไม่แน่ใจว่าขายเฉพาะในงานรึเปล่า แต่ราคาถูกกว่าบ้านเราเกือบครึ่งนึงเลยไม่รอช้ากดกระโปรงสะดิ้งมาหนึ่งตัว
จากนั้นเราก็เดินไปที่หอประชุมเพื่อถามสต๊าฟว่าต้องจองคิวรับบัตรอะไรก่อนไหม เขาบอกว่ามาถึงก็เดินเข้าได้เลย first come, first served เราเลยกะว่าค่อยมาตอนปู่ใกล้ ๆ จะเล่นอีกที ตอนนี้เลยเดินไปที่เวที Ron Brugal เพื่อรอดู DOMi & JD BECK แจ๊สดูโอ้อายุน้อยที่กำลังมาแรงสุด ๆ อีกคู่ ตอนห้าโมงตรง เขาและเธอขึ้นมาบนเวที โดมิใส่ชุดโลลิต้ากับผมหางม้าราวกับคอสเพลย์เป็นเซเลอน์มูน ส่วนเจดีใส่เอี๊ยมกับเสื้อสีสดใส น่ารักมาก ๆๆๆๆ สายแจ๊สมายืนออกันหน้าเวทีแล้วโยกกันตั้งแต่เพลงแรก ‘LOUNA’S iNTRO’ ก่อนที่โดมิจะถอดคอนเวิร์สของเธอแล้วเล่นคีย์บอร์ดเท้าเปล่า เจดีเล่าว่า “งานนี้ดีมาก ๆ เลย ได้เล่นแล้วเห็นทะเลจากเวทีนี้ด้วย แต่มือถือโดมิโดนขโมย ทาปาสก็อร่อย ขอบคุณที่ทำให้บาร์เซโลน่าครั้งแรกของพวกเราน่าจดจำ” ทำคนดูไม่รู้จะเห็นใจหรือขำดี จากนั้นก็เข้าเพลง ‘WHATUP’ และบอกว่าจะเล่นเพลงเดบิวต์ของวงที่ชื่อ ‘SMiLE’ “ไหนใครอยู่ยันหว่างบ้างเมื่อเช้า” มีคนยกมือและส่งเสียงร้องดังลั่นรวมถึงเรา “ไม่เหนื่อยกันเร้ออออ” แล้วเจดีเล่าว่าเพลงต่อไปเป็นเพลงที่พวกเขาทำกับ Thundercat ชื่อ ‘BOWLiNG’ “พวกเราจะต้องร้องเพลงล่ะ ซึ่งมันเป็นความห่วยของพวกเรา ถ้าไม่เพราะก็ขอโทษด้วยนะ” จบเพลงนี้โดมิก็บอกว่า “เดี๋ยวเราจะเล่นเมดเลย์กัน” “ระหว่างที่เขาเซ็ตของเดี๋ยวผมโซโล่กลองแล้วกัน” เจดีพูด แล้วก็หวดกลองโชว์แบบทำคนดูตาไม่กระพริบ จนทุกอย่างเข้าที่ โดมิก็แทรกคีย์เข้ามาแบบสมูธสุด ๆ
วงนี้เขาเน้นพูดเยอะเพราะเพลงมีออกมาแค่อัลบั้มเดียว “อีกเพลงที่เราจะเล่น ต้องร้องไว ๆ ไปด้วย เราอาจจะหมดลมซะก่อน ถ้าเริ่มแย่อย่าลืมอุดหูกันนะ” พอเล่นจบไปอีกเซ็ตนึง เขาก็พูดต่อ “เราจะเล่นเพลงของ Wayne Shorter เขาเป็นตำนานจาก 80s แต่เราก็เอามาปรับซะจนอาจจะฟังไม่เหมือนเดิม หวังว่ามันจะไม่ได้ฟังดูแย่ลงนะ” ซึ่งนั่นคือเพลง ‘Endangered Species’ ความโหดคือเธอไล่โน้ตไปด้วยมือขวา เล่นซินธ์เบสไปด้วยมือซ้าย แล้วมือไล่โน้ตไวมาก ๆ จบเพลง โดมิก็บอกว่า เดี๋ยวจะเล่นสองเพลงจากในอัลบั้มแล้ว “โทษทีนะที่เพลงไม่เยอะ” นั่นคือ ‘MOON’ กับ ‘TWO SHRiMPS’ ดีมาก ๆ เลยการยูนิซันกับไดนามิกรับส่งแบบเกินเบอร์ไปแล้วววว ตามด้วย ‘U DON’T HAVE TO ROB ME’ และงานคัฟเวอร์ของ Weather Report ชื่อ ‘Havona’ ดูไปได้ครึ่งเดียวเราก็ต้องย้ายไปดูอีกวงที่กำลังเล่นอยู่เวทีฝั่งซ้ายสุดในงานนั่นคือ bar italia เสียดายเหมือนกันที่ไม่อาจอยู่จนจบได้เพราะกว่าจะเดินไปถึงอาจจะอดดูทั้งเซ็ตของอีกวงเหมือนกัน
ที่เวที Dice ตอนห้าโมงสี่สิบ bar italia กำลังเล่นอยู่พอดี ฟรอนต์วูแมนฮอตมาก ๆ ให้ความรู้สึกเหมือน Wolf Alice ที่ซ่ากว่า ดาร์กกว่า แต่ตัวเพลงนี่คืออัลเทอร์เนทิฟ 90-2000s จัด ๆ เลย เท่มาก ส่วนเสียงร้องผู้หญิงคือให้ความรู้สึกเหมือน Sneaker Pimps, No Doubt หรือ Kylie Minogue แต่ไม่แหลมสูงเท่านั้นแล้วก็จะดิบ ๆ กว่า เรามาทันตอนเล่น ‘Missus Morality’ พอดี วงนี้เขาร้องสลับกันสามคน นักร้องนำหญิง กับมือกีตาร์อีกสองคน แล้วก็เป็นเพลง ‘my kiss era’ และเพลงเท่ชื่อ ‘changer’ โดนเส้นจัด ๆ นึกถึงวงตัวเองด้วย แต่เพลงเขาไวบ์หม่นกว่าเยอะ ตอนนั้นฝนก็กำลังตกลงมาปรอย ๆ แต่ไม่ได้หนักมาก คนดูก็ดูไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกัน ยืนโยกต่อไป (เออน่าสนใจมากที่ฝนบ้านเขาไม่ทำให้เราป่วย ถ้าอยู่นี่ละอองนิดเดียวก็เป็นหวัดแล้ว) ตามด้วยเพลงคิ้วท์ ๆ แต่เนื้อหาไม่คิ้วท์ขนาดนั้นอย่าง ‘Polly Amour’ กับ ‘Clark’ ที่เบสเท่จัด วงนี้คือเขาเล่นจบเพลงนึงก็ต่ออีกเพลงไปเรื่อย ๆ เลยไม่มีพูดทักทายคนดูใด ๆ แล้วก็เล่น ‘NOCD’ และเพลงฮิต ‘Banks’ เป็นเพลงสุดท้าย
ตอนประมาณหกโมงเย็นไม่รู้จะไปดูอะไรก็เลยเดินเล่นตรงฝั่งริมทะเล แถวนี้จะมีเวทีของ Pull & Bear อีกจุดอยู่กลางน้ำ มีวงร็อกเจ้าบ้านชื่อ Heal เล่นอยู่ ตอนนี้ฝนหยุดแล้วและฟ้าเปิด แดดออกแรงมากเลยไปนั่งอาบแดดไปฟังเพลงด้วย วงนี้เขาดูเหมือนเป็น supergroup หรือไม่ก็อยู่กันมานาน ดูมีอายุแล้วก็มีเพื่อนมาเชียร์เยอะ กับเหมือนว่าเป็นวันเกิดใครสักคนก็ไม่รู้บรรยากาศเลยจอย ๆ มือกีตาร์ลงมาเล่นข้างล่างกับคนดูแล้วก็บอกให้ทุกคนเขยิบเข้าไปสนุกกัน สักพักเราก็เดินผ่านเวทีของ Aperol มีวงเล่นเพลงกรูฟสุดชิลพอดีไม่แน่ใจว่าวงอะไร ต่อไปจะรอดู Surf Curse ที่ Ron Brugal แต่เวที Amazon ข้าง ๆ คือมีวงชื่อ Wednesday เล่นอยู่ เรียกว่าพังก์ นอยซ์ เกรี้ยวกราดใช้ได้ในเพลง ‘Fate Is…’ แล้วเราก็ยังจำแม่นเลยถึงสิ่งที่ฟรอนต์วูแมนพูดก่อนเล่นเพลงสุดท้ายว่า “ขอบคุณ Primavera Sound ที่ชวนพวกเรามาเล่น แต่ฟัคยู Amazon ที่จ่ายค่าจ้างให้พนักงานแบบไม่เป็นธรรม” พังก์จัด แล้วพวกเขาก็เล่นเพลงชื่อ ‘Bull Believer’ “ฉันขอมอบให้กับพนักงาน Amazon ทุกคน”
อย่างไรก็ดี โชว์ของพวกเขากินเวลาอีกเวที ชาวแก๊ง Surf Curse เลยรีบขึ้นเวทีแล้วแซว Wednesday เบา ๆ ที่ลงช้า ก่อนจะถามทุกคนว่าเหนื่อยไหม เมาไหม เปิดมาเพลงแรก ‘Heathers’ และ ‘Arrow’ ก็ต้องย้ายเวทีกันแล้ว เพราะโชว์ต่อไปคือโชว์สำคัญที่จะพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงนั่นคือ John Cale แต่ระหว่างที่เราเดินเปลี่ยนเวทีก็ได้ยินคนดูคนนึงตะโกนมาจากกลางงานว่า “They harrassed people!” ซึ่งมารีเสิร์ชแล้วรู้ตอนหลังว่ามีคดีอยู่ก็ตกใจเหมือนกัน ฮือ
ทุ่มสิบนาที เราวิ่งตรงมายัง Auditori Santander และเจอกับแถวที่ไม่ยาวมาก รู้สึกโล่งใจสุด ๆ แต่พอผ่านการตรวจกระเป๋าและเข้าไปในฮอลแล้วก็พบว่า ที่นั่งดี ๆ ถูกจับจองไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ก็เลยลุ้นเอาว่าจะมีพิกัดที่โอเค ซาวด์ดี ภาพได้ รึเปล่านะ แล้วในที่สุดก็เจอ! คืออยู่ประมาณกลางฮอลค่อนไปทางฝั่งซ้ายพอดี อีกประมาณสิบห้านาทีปู่ก็จะขึ้นเล่นแล้ว
เหตุผลที่เราอยากดูมาก ๆ เพราะว่า John Cale นอกจากจะเป็นสมาชิกก่อตั้ง The Velvet Underground วงยุค 70s จากนิวยอร์กแล้ว พอวงแยกย้ายเขาก็ยังทำเพลงอยู่ตลอด ๆ แถมซาวด์ยังมีความล้ำขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดปล่อยเพลง ‘Story of Blood’ ที่ทำกับ Weyes Blood ออกมาก็โดนเราสุด ๆ ลุ้นอยู่ให้ปู่เอาเพลงนี้มาเล่น แล้วอาจจะแถม VU สักเพลงสองเพลง ถ้าได้ฟังนี่คือหูเคลือบทองมาก
ประมาณทุ่มยี่สิบ ไฟในฮอลเริ่มหรี่ลง และพอใกล้เวลาเล่นตอนทุ่มครึ่ง ไฟก็มืดสนิทก่อนจะฉายสปอตไลต์ไปที่เวที คนดูปรบมือส่งเสียงร้องตื่นเต้นที่จะได้ดูตำนานที่ยังมีลมหายใจ จอห์นก้าวขึ้นบนเวทีพร้อม ๆ กับที่เราเริ่มน้ำตารื้น ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสดูจริง ๆ เหมือนอย่างปีนั้นที่ได้ดู Jane Birkin คนรุ่นนี้นี่ปูชนียบุคคลทั้งนั้น เพลงแรก ‘JUMBO In Tha Modernworld’ จบลง เขาก็หันไปพูดกับนักดนตรีในวงว่า “เพลงนี้ B flat” ซึ่งคือ ‘Guts’ ต่อด้วย ‘Night Crawling’ และ ‘Moonstruck (Nico’s Song)’ ที่วิชวลด้านหลังก็ขึ้นเป็นรูปเขากับ Nico อดีตเพื่อนร่วมวงเจ้าของเสียงสุดมีเอกลักษณ์ ต่อด้วย ‘Rosegarden Funeral of Sores’ ที่ดนตรีเพลงนี้เท่มาก ๆ แบบ โห เขาไม่แก่แล้วแก่เลย มีการปรับซาวด์ให้ทันยุคสมัยเลยอยู่มาได้เรื่อย ๆ ต่อด้วย ‘Cable Hogue’ ที่จอห์นเดินช้า ๆ มาหยิบกีตาร์ขึ้นเล่น แต่พอดีมีเออเร่อนิดหน่อยที่แบ็กอัพกีตาร์โซโล่เสียงไม่ออก ปู่เลยหันไปดุหนึ่งที แง
หลังจากนั้น อินโทรคุ้นหูก็ดังขึ้น หนูกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกแล้วจริงเพราะทั่นเล่น ‘I’m Waiting for the Man’ ของ The Velvet Underground! ผู้หญิงคนข้าง ๆ ก็บอกเราว่า “I’m crying too” พวกเราเลยหันมากอดกันหนึ่งที แล้วเขาก็เอาทิชชู่ให้เรา จบเพลงนี้เสียงปรบมือกึกก้อง ปู่เลยบอกว่า “Thank you very much. This is ‘Out Your Window’” แล้วต่อด้วยเพลง ‘Noise of You’ ที่ได้ฟังเขาร้องโน้ตสูง ๆ กับเสียงอิมโพรไวส์ที่เพราะมาก เนื้อหาเพลงก็ทำเอาซึม จากนั้นจึงเป็น ‘Villa Albani’ กับซาวด์อิเล็กทรอนิก 80s ฉ่ำ ๆ กระชากวัย จบเพลงทุกคนก็ปรบมือยาวนานต่อเนื่อง เป็นอังกอร์ให้เขาเล่นเพลงสุดท้ายโดยทุกคนหวังว่าจะได้ฟังงาน VU ไม่ก็เพลงนั้นที่ฉันชอบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เล่น กลายเป็น ‘Heartbreak Hotel’ คัฟเวอร์ของ Elvis Presley แทน มือเบสเอาคันชักไวโอลินมาสีทำให้เกิดซาวด์ที่น่าสนใจ กลายเป็นเพลงเท่ไปอีกเพลงนึง จบโชว์ไปอย่างน่าประทับใจแม้จะไม่ได้เล่นเพลงที่ชอบทุกเพลง แต่ความเดาเซ็ตลิสต์ไม่ได้ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์อีกความรู้สึกนึงเลย
จบจากตรงนี้เราก็เดินผ่าน My Morning Jacket ที่ Amazon พอดี เวลาใกล้สามทุ่มพระอาทิตย์ยังไม่คล้อยลงเลย ตอนนี้เพื่อนเราน่าจะเข้างานมาแล้วเลยนัดเจอกันตรงเวที Ron Brugal ข้าง ๆ กันเพื่อรอดู The Voidz เนาะ ไหน ๆ The Strokes จะมาไทยแล้วก็ขอประเดิมตรงนี้หน่อย วงขึ้นเลตไปจากเวลาในตารางประมาณ 7 นาที แต่พอขึ้นมาแล้วก็จัด instrumental ‘Welcome To The Machine’ ของ Pink Floyd ให้เฉยเลย จูเลี่ยนขึ้นเวทีมาพร้อมเสื้อสีเขียวนีออนทับด้วยแจ็กเก็ตกับแว่นซิ่ง ๆ แล้วก็เล่น ‘Did My Best’ ต่อด้วย ‘Prophecy of the Dragon’ ซึ่งเป็นเพลงใหม่ที่พวกเขาเอามาเล่นที่นี่เป็นที่แรก ตามด้วย ‘Leave It In My Dreams’ และเพลงสุดเดือดชวนหูอื้อ ‘M.utually A.ssured D.estruction’ และ ‘The Eternal Tao 2.0’ ซึ่งเป็นเพลงเอามาปัดฝุ่นใหม่เป็นเวอร์ชัน ‘2.0’ จากนั้นก็เป็นเพลงช้า ‘Where No Eagles Fly’ กับ ‘QYURRYUS’ ที่เอาเสียงเบสลีดกับเมโลดี้คีย์บอร์ดสุดจะน่ารัก พี่จูเลี่ยนแกเริ่มมัน ควงไมค์แล้วเดินไปรอบ ๆ ก่อนจะมีท่อนดรอปที่คิ้วท์มาก ๆ ก่อนจะสลับไปเดือดในท่อนเฮี้ยนที่เดาทางไม่ถูก แล้วพี่แกก็คุยกับคนดูว่า “เราเหลือเวลาอีกประมาณ 15 นาที เราจะเล่นเพลง ‘Cheeseburger Teriyaki (don’t marry him)’ ไหน Rosalía ฮี่ ๆๆๆ ได้ยินว่าเธอกำลังจะแต่งงาน… ยินดีด้วย! ผมล้อเล่นนะ พวกเราไม่รู้จักเธอหรอก ผมแค่ชอบข่าวลือ ชอบเรื่องซุบซิบ” ตอนแรกคนก็คิดว่า Rosalía ซึ่งเป็นขวัญใจชาวสเปนเขาล่ะจะมาแจมด้วย แต่เปล่า โดนอำ แล้วเขาก็ร้องเนื้อเพลง “Rosalía… You know I wanna meet her. Nobody got it.” แล้วพวกเขาก็เอามาทวิตต่อว่าเพลงนี้เป็นของวง The Rumor Mill ตำนานจากยุค 70s ซึ่งก็น่าจะสมมติขึ้นมา จะปั่นไปไหน! และปิดท้ายด้วย ‘Pyramid of Bones’ พร้อมกับเอาเสื้อทีมบอลบาซ่าขึ้นมาโชว์เรียกเสียงเฮจากคนดูไปได้เต็ม ๆ เสียดายว่าอยากฟัง ‘Human Sadness’ แต่ไม่เล่น แต่ไม่เป็นไร โชว์จอย ๆ เมา ๆ ดี สีวิชวลก็เจ็บมาก เอางานของศิลปิน Piet Mondrian มาขึ้นจอไปเลย ไว้เจอกันอีกทีที่คอน The Strokes เดือนหน้านี้นะ
สี่ทุ่มสิบ เราเดินมาที่เวที Santander ซึ่งตอนนั้น St. Vincent กำลังเล่นอยู่พอดี คนอะไรเท่มาก เพลงก็สกิลจัด ๆ ใน ‘Pay Your Way in Pain’ แต่บังเอิญว่าเวลาเดียวกันนั้น เวทีคลับ Pull & Bear ข้าง ๆ ดันมีดีเจ drum n bass ที่เราอยากดูเล่นอยู่ เธอคือ DJ Storm แล้วพอไปถึงเท่านั้นแหละ เจอคนเดินออกกันเยอะมาก ส่วนคนที่อยู่ก็คือเต้นเป็นบ้า รู้สึกเหมือนเจอเผ่าตัวเอง สนุกมากกกก เราอยู่เวทีนั้นนานมาก ๆ จนลืมไปว่า Caroline Polachek กำลังจะขึ้นในอีกไม่กี่นาที เลยกลั้นใจเดินออกมารอที่ Estrella Damm ใกล้ ๆ กัน และนี่คือโชว์ไฮไลต์อีกโชว์ที่เราอยากพูดถึงที่สุดในงานนี้
เราเคยเขียนถึงอัลบั้ม ‘Desire, I Want to Turn Into You’ ของ Caroline Polachek ไปแล้ว ชอบมาก ๆ ทุกเพลงเพราะเขาเรียงมู้ดในอัลบั้มดีมาก มางานนี้ก็ตั้งใจจะมาฟังเพลงอัลบั้มนี้สด ๆ นั่นแหละ แล้วพอสี่ทุ่มสี่สิบห้าตามเวลาเป๊ะ รูปนาฬิกาที่วาดเป็นเส้น doodle หลอน ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนจอด้านหลัง ค่อย ๆ นับถอยหลัง 30 วินาที พอใกล้เวลานับ 10 เราก็สังเกตว่าคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ เรา เป็นสุภาพสตรีและพี่กะเทยทั้งนั้น ต้องสนุกมากแน่นอน
แล้วทันใดนั้น สปอตไลต์ก็สว่างวาบ เวทีวิชวลอลังมาก และที่สำคัญคือแม่ปรากฏตัวอย่างสง่าทรงพลัง สวยตะโก๊นนนนน เสียงร้องโหยของแม่ในเพลง ‘Welcome to My Island’ ที่เป็นแทร็คเปิดในอัลบั้มขับกล่อมให้ทุกคนประสานเสียงพร้อมกัน เซ็ตไวบ์ได้ดีมาก (นี่พิมพ์ไปยังขนลุกอยู่เลย) พี่กะเทยและเพื่อนสาวตรงนั้นรวมถึงฉันร้องได้ครบทุกเม็ด ทุกโน้ตแตะถึง เป๊ะทุกแอดลิบ จำได้ว่าคืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงพอดี รู้สึกว่าพลังอะไรไม่รู้ส่งถึงกันมาก ต่อด้วย ‘Pretty In Possible’ ที่ชาวเราร้อง ตาดาดั๊ดตา กันพร้อมเพรียง จากนั้นก็เป็นเพลงถูกใจชาวลาติน ‘Bunny Is a Rider’ โยกเอวหลุด จบเพลง แม่ก็พักทักทายลูกสาว “สวัสดีฉันแคโรไลน์ นี่เป็นเฟสติวัลที่ฉันชอบที่สุดเลยค่ะ” แล้วก็เป็นเพลง ‘Sunset’ กลิ่นไอร้อนทะเลมาเลย นี่แทบจะเล่นตามแทร็คอัลบั้มเลยแฮะ แล้วก็มีเพลงจากชุดที่แล้ว ‘Ocean of Tears’ กับ ’I Believe’ แทร็ค UKG เท่ ๆ ในชุดใหม่ ต่อด้วยเป็น ‘Fly to You’ เพลงเบรกเท่ที่ผสมเอา ‘Look at Me Now’ เข้ามานิด ๆ โดยแม่ร้องหมดทั้งท่อน Grimes ท่อน Dido ที่มาแจมในเพลงนี้ ชอบมากที่ทุกคนเต้นด้วยกันแล้วก็หันมองหน้าร้องเพลงด้วยกัน เสียดายว่าอยากจะอยู่ต่อให้จบเพราะมีเพลงชอบอีกหลายเพลงยังไม่ได้เล่น แต่ต้องตัดใจอีกเหมือนกันเพราะอีกฟากของงานมีอีกหลายเบอร์ที่รอเราอยู่
เราเดินไปเติมเบียร์แล้วกะจะมุ่งหน้าไปยัง Boiler Room ที่มี LustSickPuppy กำลังเล่น แต่เมื่อพบว่าคิวยาวมาก ๆ อีกแล้วเลยถอดใจ เดินเลยไป Dice เพื่อดู Jockstrapp ที่กำลังเล่น ‘Jennifer B’ พอดี โห คาริสม่ากระจาย เพลงชวนเต้นมาก ซึ่งก็เก็บได้แค่เพลงเดียว ต้องเดินกลับไป Cupra เพราะมี Nia Archives เล่นอยู่ เนี่ย มันน่าโมโหใครจัดตารางให้ชนกันโครมครามขนาดนี้ (จริง ๆ ไม่ผิดที่เขาหรอก เอ็งชอบหลายวงเกินไป ถ้าเลือกไม่ได้ก็ต้องชะโงกทัวร์แบบเนี้ย) พอเดินไปถึงประมาณห้าทุ่มครึ่ง ก็ได้ยินเขาหยิบเอา ‘Head Will Roll’ ของ Yeah Yeah Yeahs มาแซมป์กลอง 808 ซึ่งนั่นคือเพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยเลย ‘Off Wiv Ya Headz’ เท่ชะมัด แล้วก็เล่นทั้ง ‘Forbidden Feelingz’ ‘Lov Like’ happy drum n bass ที่ทำเอาเราเต้นตัวเหวี่ยง เล่นดีมากกกกกก คนเยอะมาก ๆ ตรงนั้นแต่ทุกคนก็จอยกันสุด พูดตามตรงว่าไลน์อัพวันสุดท้ายนี่คือโดนเส้นสายเบสกลอง สายเบรก สายเพลงหนัก เพราะศิลปินแต่ละวงก็คือสุดทางไปหมด ฝั่งตรงข้ามของเธอที่เวที Ron Brugal คือ Kelela ซึ่งใจก็อยากจะแยกร่างไปดูมากนะ แต่เพลงน้องเนียเขาโดนเส้นกว่าจริง เลยแว้บไปดูแค่ ‘Happy Ending’ แล้วกลับมาเต้นต่อ จนน้องเนียเล่นจบ แต่ Kelela ยังไม่จบเลยได้ดูต่ออีกนิด มาถึงเพลง ‘Raven’ ‘Bruises’ แล้วก็ ‘Enough for Love’ เหมือนจะเกินเวลามาเยอะ ทีมงานเลยตัดเสียงแม้เธอจะขอเล่นต่ออีกเพลงนึง แล้วให้ Måneskin เวที Amazon ขึ้นเล่นทันที
บังเอิญว่าเพลงวงอิตาลีไม่ค่อยโดนเส้นบวกกับเพื่อนเราหนีกลับไปก่อน ประมาณตีหนึ่ง เราที่จะรอดูโชว์ปิดตอนเกือบตีห้าก็เลยต้องหาที่ลง ตอนนี้คิดว่าทุกคนคงดู Calvin Harris กันอยู่เลยไม่เสี่ยงเดินไปฝั่งเวทีใหญ่ เลือกจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ Dice ที่ตอนนี้ Gilla Band เล่นอยู่ โอ้โห้ เพลงถูกใจดิฉันมาก พังก์ ๆ ซิ่ง ๆ ซาวด์สากหูแบบทำเอาตื่น เสียงกีตาร์หนา ๆ กับกลองเร้า ๆ และเบสฉวัดเฉวียนนี่มันทำใจชื้นจริงนะ เสียดายว่าไม่ค่อยรู้จักเพลงวงนี้ แต่กลับบ้านมาต้องหาฟังเพิ่มเลย ชอบมาก พลังพุ่ง ๆ
ความมันยังไม่ลดละ เพราะเราเดินไปต่อ Death Grips ช่วยด้วยจ้าาาาาาาาา ความเดือดแบบลงนรกกกกกกก ตอนนั้นเป็นเวลาตีสองกว่าแล้วคนยังมอชกันอยู่เลยอะ (เดาว่าพวกนี้เข้างานกันดึกเลยยังมีแรงเหลือ) เราที่ขาไม่ไหวแล้วต้องขอนั่งดูทุกคนระเบิดพลังกัน เพลงเขาเท่มากจริง หยิบมาเล่นทั้ง ‘Inanimate Sensation’ ‘Guillotine’ ‘Death Grips Is Online’ ‘Giving Bad’ ‘People Good Ideas’ ‘Anne Bonny’ ‘The Fever (Aye Aye)’ ฉันก็ลุกไปโยกบ้าง กลับมานั่งบ้าง อากาศก็เริ่มหนาวมาก ๆ แต่ดันซ่าไม่เอาแจ็กเก็ตมา แถมเริ่มสะลึมสะลือกลัวจะอยู่ไม่ถึงตีสี่ สุดท้ายเลยตัดสินใจรีบไปกด Red Bull มากินให้ไว
พอจบโชว์ สารภาพว่าไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหนจริง เพราะ Rosalía เราก็เฉย ๆ นี่เลยเดินฝ่าฝูงชนที่กำลังตบเท้าไปเวทีใหญ่เพื่อไปเวทีโกดัง Stone Island Sound Warehouse – HIVERN DISCS SHOWCASES ที่เอาศิลปินอิเล็กทรอนิกสายทดลองมาเล่นกันในนี้ ตลอดสองวันที่ผ่านมายังไม่เคยเดินเข้ามา ปรากฏว่าข้างในอุ่นมาก ๆ แล้วคนก็เริ่มเข้ามาเยอะขึ้นเพราะน่าจะประสบภัยหนาวเหมือนกัน คนที่เล่นอยู่คือ Om Unit โดยเล่นเป็นไลฟ์ Acid Dub Studies ซึ่ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง แต่เหมือนเขาก็กดบีตสด ลูปไปเรื่อย ๆ เพลงเป็นแอซิดดั๊บเมา ๆ เท่ ๆ สะกดให้เราอยู่ตรงนั้นอยู่พักใหญ่ จนอิ่มกับซาวด์ได้ที่แล้ว เราก็เดินกลับไป Pull & Bear เพื่อดู Pional ไปซื้อเกี๊ยวไส้เนื้อมานั่งกิน แต่แล้วเขาก็เล่นจบซะก่อน คนทยอยเดินออกจากเวที กลายเป็นว่าเรานั่งจ๋องอยู่เงียบ ๆ มีคนเดินมาถามว่าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดอยู่ไหน เลยบอกเขาว่า ให้เดินไปหาตรงที่เป็นไฟเส้น ๆ แนวนอน ซึ่งการหาห้องน้ำในงานนี้เป็นอะไรที่ง่ายมากเพราะไฟติดหน้าห้องน้ำพวกนี้แหละ ไฟสีเขียวคือห้องว่าง ไฟสีแดงคือห้องมีคนเข้า แล้วชักโครกก็แรงสะใจ มีทิชชู่ให้ทุกห้อง ประทับจิตตตต
กินเสร็จเราก็เดินกลับไปที่โกดัง ตอนนั้น Mala DJ เล่นอยู่พอดี กำลังสนุกเลยแต่คนแน่นมากและอัดบุหรี่กันจัดสุด พอหายใจไม่ค่อยออกเราเลยตัดสินใจออกมารอ Two Shell ที่เวที Cupra ตอนประมาณตีสี่ ดีเจเล่นเฟสติวัลนี่เขาวอร์มเซ็ตกันน้านนาน กว่าจะเครื่องติดเดี๋ยวเฮดไลเนอร์ที่เราอยากดูน่าจะขึ้นเล่นพอดี เพลงแรกนี่เขาเอาแซมป์ Round Round ของ Sugarbabes มาเล่น เริ่ดมาก แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเดินฝ่าความหนาวไป Plenitude ที่อยู่ฝั่งซ้ายสุด เพื่อดูศิลปินที่ตั้งตารอให้เป็นโชว์ปิดของเราสำหรับเฟสติวัลปีนี้ นั่นคือ Overmono
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไปรู้จักกับ Overmono ได้ยังไง แต่น่าจะตอนที่หาเพลงไปเปิดนี่แหละ ตอนหลังก็พบว่าเราจะชอบเพลงทรง ๆ ประมาณนี้เป็นพิเศษ แล้วยัยดูโอ้คู่นี้ก็เรียงเพลงในอัลบั้มได้ถูกต้องมาก ออกมากี่เพลงก็ชอบ แถมมีช่วงนึงที่เราฟัง ‘BMW Track’ บ่อย แล้วก็ ‘I Have a Love’ ของ For Those I Love ที่พวกเขาเอามารีมิกซ์จนกลายอีกเพลงดัง และเป็นอีกเพลงที่สำคัญกับเรามาก ๆ
จนได้เวลาที่รอคอยค่ะ ตีสี่สี่สิบห้า พลังงานเฮือกสุดท้ายขอใช้ไปกับพี่สองคนนะ เวทีคนแน่นใช้ได้ เต้นกันจอย ๆ เมา ๆ เพลงที่อยากฟังก็ได้ฟังทั้งหมด เลี้ยงตอนต้นเซ็ตมาอย่างนวล เข้า ‘Feeling Plain’ แล้วหวดเบส มิกซ์กันแบบกะเอาตาย ขยี้ให้สติกระเจิงกันไปเลย แล้วก็มีเล่น ‘Is U’ กับ ‘So U Kno’ ฟิน ๆ กันไป ช่วงที่พระอาทิตย์กำลังค่อย ๆ ขึ้นประมาณตีห้า ก็เล่น ‘I Have a Love’ โอ้โห ตอนนั้นฟ้าสวยด้วย เพลงมู้ดดี เป็นโมเมนต์ที่งดงามมาก ตัดสินใจถูกจริง ๆ ที่รอดูและเก่งมากที่ไม่ร่วงไปซะก่อน (เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน) ปิดท้ายกันไปด้วย ‘Good Lies’ เนี่ย ตายไปเล้ยยยยย หกโมงเช้าฟ้าสว่างแล้ว ก้าวขาไร้เรี่ยวแรงออกจากเวที กะจะมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ปรากฏว่าตรง Cupra ที่เป็น DJ Coco ยังไม่ลงเลยจ้า ตอนนั้นเล่นเพลง ‘Glue’ ของ Bicep ที่เราชอบพอดี เลยอยู่เต้นอีกซักหน่อย แล้วค่อยเดินไปขึ้นเมโทรกลับบ้านนอนแบบอิ่มใจสุด ๆ
จบไปแล้วค่ะกับมหกรรมดนตรีเดินวิ่งประจำปีสุดทรหด วันสุดท้ายจัดไป 49,000 ก้าว ต้องสู้ขนาดนี้มั้ย!!!! ปีนี้กดสุดมาก ครบรสชาติ ใครสนใจอยากสัมผัสประสบการณ์ฟิน ๆ กับการได้ดูวงที่หาดูยาก หรืออาจจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เฉียดไปเอเชีย หลากหลายทั้งแนวและปริมาณ แนะนำให้รีบเก็บเงินเตรียมไว้ ประกาศเมื่อไหร่ก็เตรียมเลือกไลน์อัพที่ถูกใจ destination ที่ถูกจริต แล้วแต่ละเมืองที่เขาเลือกไปจัดก็มีเสน่ห์ต่างกันไปแถมเที่ยวไม่ยากอย่างที่คิด อยากให้ลองดูงานเจ้านี้สักครั้ง ไม่มีผิดหวังจริง ๆ
อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ