Primavera Sound Barcelona 2023 วันที่ 2 รวมสายซิ่งปะทะสายขรึม Skrillex, Kendrick Lamar, Fred again…, Depeche Mode

by Montipa Virojpan
1K views
Primavera Sound 2023 day 2 review

การมา Primavera Sound ปีนี้ถือว่ากดสุดในทุกมิติ ทั้งเข้างานเร็ว stage hopping เยอะ กดเบียร์เยอะ แถมยังดูโชว์ยันฟ้าสว่าง ดังนั้นตารางเวลาการนอนของพวกเราเลยพิลึกไปกว่าที่ไทยมาก ปกติที่ไทยกลับบ้านตีสี่คือ maximum แล้ว เมื่อวานคือกลับถึงบ้านตอนหกโมงเช้า อันนี้ให้ลองบวกไทม์โซนเข้าไปเล่น ๆ ก็จะไม่แปลกใจว่าทำไมรอบนี้ถึงเจ็ตแล็กหนักหน่วง ไหนจะต้องสู้กับแสงเช้าที่ส่องเข้ามาผ่านม่านบาง ๆ ในห้อง กับเสียงเพื่อนบ้านที่ทำอะไรโครมครามเสมอ ดังนั้นที่อุดหูกับที่ปิดตาที่ขอมาจากบนเครื่องบินเลยมีประโยชน์มาก ๆ กับภารกิจเซฟแรง (เพื่อไปทรมานกล้ามขาอีกที) ในงานนี้

สำหรับวันนี้เตรียมพบกับเฮดไลเนอร์สายซิ่งสายเก๋า มาทั้ง Depeche Mode, Sparks, Bad Religion, Four Tet, Fred again…, Skrillex, Kendrick Lamar จะเป็นยังไงเลื่อนลงมาดูกัน

อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่นี่ Day 0, Day 1

Day 2 : 2 June 2023

หลังจากตื่นซักเที่ยง เรากับเพื่อนก็เดินชิล ๆ แถวบ้านเพื่อจะไปหาข้าวกินก่อนเข้างาน ปรากฏว่าตอนชมนกชมไม้อยู่น่ะ ตาก็เหลือบไปเห็นคนยืนต่อคิวรอที่นั่งหน้าร้านร้านนึง เราประสานสายตากับคนคนนั้น แล้วเขาก็หลบตาเราอย่างไว อีนี่มือสั่นหันไปถามเพื่อน “มึง ๆ …มึงว่าใช่ปะวะ” เพื่อนมองแล้วตอบกลับมาว่า “กูว่าใช่”

Damon Albarn by Panchaya Senawut

ดิฉันลังเลหลายทีมากว่าจะเข้าไปชาร์จเลยดีไหมเพราะอีกใจก็อยากเคารพเวลาส่วนตัวเขาอะนะ แต่สุดท้ายก็พุ่งตัวเข้าไปเลยจ้ะ ตื่นเต้นมากได้เจอ Damon Albarn ค่ะ!!! ฝันที่ไม่กล้าฝัน ขอเขาถ่ายรูป เขาก็ไม่พูดอะไร ดูยังแฮ้ง ๆ อยู่แหละมั้งจากโชว์ Blur เมื่อวาน เราก็เอารอยสักรูปปกอัลบั้ม ‘The Magic Whip’ ให้เขาดู แล้วทีนี้เขาก็ทำหน้าแบบ ‘โอ้’ เซอร์ไพรส์ แล้วยิ้มกว้างเลย นี่เกือบจะร้องไห้แล้วแต่ฮึบอยู่ บุญของหนูมากแม่จ๋า พอเราเดินออกมาก็สังเกตว่าคนอื่นเพิ่งจะกล้าขอถ่ายรูปกับเขาทั้งที่ยืนต่อแถวอยู่ตรงนั้นนานแล้ว คิดว่าคงเกรงใจเหมือนกัน แหะ เพื่อนก็บอกว่าปีที่แล้วเดินเล่นแถวบ้านแบบเนี้ยแหละ แล้วเจอ Kevin Parker วง Tame Impala นั่งกินเบียร์อยู่ คงเหมือนที่หลายคนเจอ Alex Turner จาก Arctic Monkeys ตอนไป Clockenflap ที่ฮ่องกงแหละนะ

พอเจอไอดอล กินข้าว กดกาแฟเรียบร้อย ก็แยกกันกับเพื่อนเพราะนางจะไปช็อปตลาดวินเทจก่อนเข้างาน เราใจร้อนอยากเข้างานเร็ว เพื่อจะมาดู The Beths วงน่ารักแต่แอบดิบจากนิวซีแลนด์ ที่ช่วงเดือนที่ผ่านมาเราฟังเพลงเขาวน ๆ อยู่เพลงสองเพลง

ลืมแปะแผนที่ในงานให้ จะได้นึกออกว่าต้องเดินเปลี่ยนเวทีกันขาลากแค่ไหน

วันนี้เรามาถึงที่งานตอนสี่โมงครึ่งและพร้อมสุด ๆ กับการไปจองที่ยืนดี ๆ เพื่อดูแก๊งนี้ แต่กว่าจะเดินไปถึงเวที Dice ที่อยู่ฟากซ้ายสุดของงาน เราก็เดินผ่าน Ibiza Pareo วงจากอาร์เจนจิน่าที่กำลังม่วนสุด ๆ อยู่ที่เวที Night Pro ด้านหน้าสุดของงาน กับเพลงอิเล็กทรอนิก้าชวนย่ำ พอสนุกสองเพลงหนำใจก็ใกล้ได้เวลาที่ The Beths จะขึ้น เลยรีบจ้ำไปอีกฝั่ง

The Beths by Montipa Virojpan

เรามาถึงเวทีตอนห้าโมงเย็น ก็ยืนรออีกพักนึง ผ่านไปสิบห้านาทีเสียง md บรรเลงพร้อมกับวงขึ้นมาประจำที่ตรงเวลาเป๊ะ สังเกตว่าบนเวทีมี installation หัวปลาใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ คนดูก็ไวบ์น่ารักจัดส่งเสียงต้อนรับวงและช่วยกันร้องเพลง ‘Future Me Hates Me’ โดยพร้อมเพรียง ต่อด้วย ‘Knees Deep’ และ ‘Out of Sight’ กับท่อนโซโล่เปรี้ยวจัด เปลี่ยนไดนามิกจากชิล ๆ ไปเป็นท่อนเท่ให้โยกหัวหลุด แล้วเป็น ‘Watching the Credits’ ที่น่ารักอีกแล้วกับท่อนประสานเสียงที่เป็นจุดเด่นของวงนี้ จบเพลงพวกเขาทักทายคนดูและผลัดกันแนะนำตัววนไปเรื่อย ๆ จากนักร้องนำ ไปกีตาร์ กลอง เบส แล้วกลับมาที่นักร้อง ก่อนจะเล่น ‘When You Know You Know’ อินโทรใส ๆ เมโลดี้เพราะกับกีตาร์โปร่งให้กลิ่นอายคันทรีนิด ๆ ตามด้วย ‘I’m Not Getting Excited’ กีตาร์สตรัมมิงเท่สุด ๆ คนดูช่วยตบมือและร้องเสียงดัง

แต่ก่อนจะขึ้นเพลงต่อไป เหมือนคาโป้ของฟรอนต์วูแมนพัง ก็เลยให้เพื่อนช่วยถ่วงเวลา มือเบสก็บอกให้ทุกคน “ไหนดูที่กำแพงตรงนั้นซิมีอะไร” เรียกได้หนึ่งฮา “สวัสดีคุณเรือ! คุณมีตั๋วเข้างานหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ปิดตาซะนะ” ที่เขาเล่นมุขนี้เพราะว่าเวที Dice มันหันหน้าออกไปเห็นทะเลพอดี บรรยากาศดีมาก ๆ เมื่อพร้อมแล้วพวกเขาก็เล่น ‘Jump Rope Gazers’ โอ้โห เบสกับกีตาร์เท่สุดพลัง ไลน์ประสานเพราะอีกแล้ว ตามด้วย ‘Whatever’ ที่นักร้องนำโชว์ให้ดูรูปแฟนเพลงวาดให้ เป็นลายเส้นเด็กยุกยิกวาดสมาชิกทั้งวง กับเขียนชื่อเพลงอยู่บนนั้น แล้วก็เป็น ‘Silence Is Golden’ ก็คือเพลงที่เราบอกว่าฟังวน ๆ พักนึงเพราะเอเนอร์จี้พุ่ง ๆ ในเพลง พุ่งขนาดมีคนพุ่งตัวจากข้างหลังมาหน้าเวทีจะมอชกันเลย สนุก ปิดท้ายด้วย ‘Expert in a Dying Field’ ทำให้นี่กลายเป็นโชว์แรกที่ได้ดูเต็ม ๆ ของวันที่เซ็ตมู้ดได้ดีทีเดียว

วันนี้ค่อนข้างชิล ๆ ไม่รีบร้อนอะไรในช่วงบ่าย เราเลยมีเวลาเดินเตาะแตะไปดูเวทีข้าง ๆ ทางผ่านตรงนั้นคือ Planitude ที่มี Soul Glo วงฮาร์ดคอร์พังก์จากอเมริกาเล่นอยู่ แล้วตรงนั้นก็มีจุดเติมน้ำเปล่าเราเลยไปต่อคิวเติมน้ำไปโยกไป อ้อ งานนี้เขาจะมีแก้วให้ใช้วน ๆ คือสมมติซื้อเบียร์ เขาก็จะเอาแก้วที่สกรีนเป็นลายโปสเตอร์งานปีก่อน ๆ มาให้ใช้ เราได้แก้วปี 2018 ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้มางานนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นฟีลเหมือนได้กลับบ้าน (แต่ปีนั้นยังไม่มีทำออกมานะ คิดว่าเขาเพิ่งทำให้มันเป็นกิมมิกตอนงานครบ 20 ปีเมื่อปีที่แล้ว) โดยแก้วพวกนี้มีค่ามัดจำ 1.50 EUR พอไปซื้อเบียร์อีกรอบเขาก็จะเปลี่ยนแก้วใบใหม่ให้ ทำให้เราได้ปีไม่ซ้ำกันเลย ที่เก่าสุดที่เคยได้ก็จากปี 2001 มั้ง เห็นชื่อแต่ละวงแล้วขลังสุดไรสุด พอจบงานค่อยไปแลกเงินมัดจำคืน หรือไม่ก็เก็บกลับบ้านไปเลย แล้วในงานยังมีจุดเติมน้ำฟรีที่น้ำเย็นเจี๊ยบ ชอบมาก

กลับมาที่ Soul Glo วงเล่นไปหลายเพลงแล้วอยู่เหมือนกัน แต่พลังงานไม่แผ่วลงเลย เล่นทั้ง ‘Jump!! (Or Get Jumped!!!)’ ‘Fucked Up If True’ ‘(Five Years And) My Family’ ‘Driponomics’ ‘Gold Chain Punk (whogonbeatmyass?)’ ฟังแล้วเพลินหูสุด ๆ (หูโล่งเลย สั่นประสาทมาก ชอบมาก) ระหว่างเพลงเขาจะมีดีเจเปิดแทร็คขั้นตอนพูดด้วย แปลกดี แล้วคือเล่นดีจัดจนไม่อยากเดินไปเวทีอื่น แต่ก็ต้องไปเพราะอยากไปสนับสนุนเพื่อนร่วมทวีปซักหน่อย แต่เวทีเขาดันอยู่ไกลมาก ๆ นั่นคือ Night Pro หน้าทางเข้า ระหว่างนั้นเราก็เดินผ่านเวที Amazon ที่มี Julia Jacklin เล่นอยู่ เป็นอินดี้ป๊อปผสมไซเคเดลิกใส ๆ กับกีตาร์เสียงเพราะในเพลง ‘I Was Neon’ น่าสนใจดี 

Soul Glo by Eric Pamies

หกโมงครึ่งเราเดินมาถึง Lilium วงจากไต้หวันกำลังเล่นพอดี วงนี้เราเคยได้ยินชื่อของพวกเขาตอนทีมงานทำคอลัมน์ Heatwave by Taiwan Beats แล้วพอได้มาดูสด ๆ พวกเขาก็เจ๋งจริง คอร์ดโปรเกรสซิฟเอามาผสมกับเพลงพื้นบ้าน มีเล่นเพลงบอสซาโนว่าร้องเป็นภาษาสเปนเอาใจชาวบ้านที่นี่ด้วย แต่ดูได้แปปเดียวเราก็ต้องเดินไปฝั่งเวทีใหญ่เพื่อดู Japanese Breakfast ตอนนั้นที่มิเชลมาไทยก็ได้ดูช่วงอัลบั้มแรกกับ EP แล้ว หลังจากได้อ่านหนังสือ Crying in H Mart จนเสียน้ำตาไปหลายแหมะ บวกกับตอนนี้เขาปล่อยอัลบั้มใหม่แล้วก็ต้องไปฟังซะหน่อย 

ระหว่างทางที่เดินมาก็ได้ยินเสียงใสลอยมาแต่ไกล ตอนนั้นเธอเล่นเพลง ‘Tactics’ กับ ‘Savage Good Boy’ อยู่พอดี ไอ้เราก็เดินชมนกชมไม้ สูดอากาศดี ๆ รับแดดจ้าในวันที่สอง เรื่อยเปื่อยอยู่นั่นจนพาตัวเองเดินมาถึงเวที Santander ตอนทุ่มพอดี เธอกำลังเล่นเพลงดังจากชุดเก่า ‘Road Head’ และ ‘Boyish’ จากวงเก่าเธอที่ชื่อ Little Big League ชุดมิเชลในโชว์นี้น่ารักมาก ๆ คนอะไรดูเด็กลงเรื่อย ๆ ก่อนจะต่อด้วย ‘The Body Is A Blade’ และเพลงเท่ที่เป็นแทร็คโปรโมตอัลบั้มใหม่ ‘Posing In Bondage’ 

Japanese Breakfast by Eric Pamies

เหมือนเดิมค่ะ ดูได้ไม่นานก็ชะโงกทัวร์ไปต่อที่เวที Boiler Room ถ้านับตอน Maho Rasop นี่ก็เป็น Boiler Room รอบสองของเรา ตอนนี้มี Yves Tumor มาเล่นดีเจเซ็ต แต่บร๊ะเจ้า คิวมันยาวมาก เพราะเวทีมันเป็นทรงโดมเล็กจำกัดคนมาก แบบแถวซ้อนกันประมาณ 3 โค้ง เราต่อคิวประมาณครึ่งชั่วโมง ได้ทันดูแค่ 5 นาทีสุดท้าย แล้วก็แทบไม่เห็นอะไรเลย ก็เลยอยู่ต่อดีเจคนต่อไปอีกแปปนึง เขาคือ Jon K แต่เน้นเปิดลาตินเอาใจสแปนิช ไม่ค่อยโดนเส้นฉัน เลยหนีไปหาอะไรอย่างอื่นดู ทีแรกว่าจะเดินไป Julia Holter แต่เวทีเธอคืออยู่ในหอประชุมหน้างาน ไกลเกิ๊น แล้วเวลานี้ก็น่าจะเล่นไปครึ่งเซ็ตแล้ว แล้วก็ไม่รู้จะมีที่นั่งไหมเพราะมันจำกัดแค่ 300 ที่นั่ง เลยตัดใจไปดู Sparks ที่เวที Amazon ใกล้ ๆ กันแทน

Sparks นี่เป็นวงป๊อปจากยุค 70s ดังนั้นกลุ่มคนดูก็เลยเป็นวัยกลางคนบวกซะส่วนใหญ่ ซึมซับความขลังได้นิดหน่อยก็ขอปลีกตัวไปดูอีกวงที่ตั้งตารอจะดูที่สุดอีกวงหนึ่งในเฟสติวัลนี้

Sparks. Photo credit: Christian Bertrand 07

เราเดินกลับมาที่เวที Cupra เพื่อรอดู The Moldy Peaches ซึ่งเป็นดูโอ้โปรเจกต์ของ Adam Green กับ Kimya Dawson ก่อนหน้านี้เราได้ดูอดัมเล่นโชว์เดี่ยวที่ไทยซึ่งชอบมาก ๆ เป็น anti-folk จากนิวยอร์กที่ทำเพลงได้น่ารัก กวนโอ๊ยโดนเส้น ส่วนโปรเจกต์นี้ก็มารู้จักได้จากเพลงประกอบหนังเรื่อง ‘Juno’ ที่พระเอกนางเอกเล่นกีตาร์ร้องเพลงกันตอนท้ายเรื่องนั่นแหละ ซึ่งครั้งแรกที่วงมาเล่น Primavera ก็น่าจะตอน 2001 มั้งถ้าจำไม่ผิด นี่ก็เลยเป็นโชว์แรกในรอบหลายปีของพวกเขา ตื่นเต้นแล้วอะ!

ตำแหน่งที่ยืนเรียกได้ว่าดีงามมาก ๆ เพราะมาก่อนเวลา บวกกับวงขึ้นเลทไปประมาณ 5 นาที พอทั้งวงปรากฏตัว แฟนเพลงก็ส่งเสียงร้องดีใจ ทุกคนมาในชุดแฟนซี เพนต์หน้าเป็นตัวละครต่าง ๆ กับวิชวลหลังเวทีเป็นลายเส้นเด็กวาด ซึ่งเป็นรูปปกอัลบั้มของพวกเขานั่นเอง วงนี้มีทั้งเพลงโฟล์กป๊อปน่ารัก และนอยซ์ป๊อปดิบสากชวนโดด ซึ่งแน่นอนว่าโชว์นี้พวกเขาก็เล่นทั้งสองแนวสลับกันไป เปิดมาเพลงแรกด้วย ‘Lucky Number Nine’ ‘County Fair’ และ ‘Jorge Regula’ ที่เราเห็นอดัมกับคิมยายิ้มกว้าง ปล่อยให้คนดูร้องเสียงดัง อิ่มเอมใจมากที่ทุกคนคิดถึงและดีใจที่ได้ดูพวกเขาสด ๆ มาก ตามด้วยเพลงเกรียน ๆ สไตล์ร็อกแอนด์โรล ‘Downloading Porn With Davo’ ที่แฟนเพลงร้องท่อนทะลึ่งดังลั่น จบเพลง ทุกคนตบมือส่งเสียงร้องดัง อดัมมองไปรอบ ๆ อมยิ้ม แล้วพูดว่า “มีคนเยอะมากเลย… พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วนะ” ก่อนจะหลบไปข้างเวที ปล่อยให้คิมยาร้องเพลง ‘D.2. Boyfriend’ แล้วกลับมาสนุกกันต่อในเพลงมัน ๆ ‘These Burgers’ และ ‘I Forgot’

The Moldy Peaches. Photo credit: Paco Amate

จบเพลงนี้เขาก็แนะนำตัวและพูดว่า “พวกเราไม่ได้เล่นที่นี่มา 21 ปีแล้ว… เพลงนี้เกี่ยวกับการโตมาในบ้านเกิดของพวกเรา” นั่นคือเพลงเท่ ๆ กึ่งแร็ป ‘On Top’ กับอีกเพลงที่คนช่วยกันร้องได้อย่าง ‘Steak for Chicken’ ระหว่างนั้นมีการปาลูกโป่งจากด้านหลังส่งมาเรื่อย ๆ บนลูกโป่งมีเขียนข้อความว่า ‘You’re beautiful’ ‘Love yourself’ ‘Nobody’s normal’ ชอบมาก ๆ คืองานนี้เขามีแคมเปญสนับสนุนความแตกต่างและให้ทุกคนทรีตกันอย่างเข้าใจและมีน้ำใจ พอมีอะไรแบบนี้ในโชว์ของ The Moldy Peaches ยิ่งทำให้บรรยากาศฟีลกู๊ดขึ้นไปอีก

จากนั้นก็ต่อด้วยกรันจ์เท่ ๆ ‘What Went Wrong’ ‘Lazy Confessions’ และ ‘Nothing Came Out’ เพลงซึม ๆ ที่อดัมเอาขลุ่ยรีคอร์เดอร์มาโซโล่ ต่อด้วย ‘NYC’s Like a Graveyard’ เพลงมัน ๆ ที่เขาเล่นกีตาร์ไปด้วยร้องไปด้วย แล้วก็เป็น ‘Lucky Charms’ กับ ‘Little Bunny Foo Foo’ ‘The Ballad of Helen Keller & Rip Van Winkle’ ตามด้วยอีกเพลงทะลึ่งที่คนดูหัวเราะชอบใจ ‘Rainbows’ วงพักเล่นไปสักแปปนึงให้คนได้ร้องอังกอร์ แน่นอนพวกเขากลับขึ้นมาพร้อมเพลงที่หลายคนรออย่าง ‘Anyone Else But You’ โฮ้ น้ำตาซึม แล้วก็เล่น ‘Greyhound Bus’ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงสนุก ๆ ที่ทุกคนเต้นกันเป็นบ้าใน ‘Who’s Got the Crack’ เรียกได้ว่าเต็มอิ่มจุใจสาย outsider music มาก ฮือออออออ

The Moldy Peaches. Photo credit: Paco Amate

นี่เราดูโชว์แบบเต็มเซ็ตจนลืมไปว่า Depeche Mode ขึ้นแล้ว! งานเดินวิ่งมาราธอนประจำปีได้เริ่มขึ้นแบบจริง ๆ แล้วค่ะ เราลากสังขารจากกลางงานไปที่เวทีใหญ่ฝั่งขวาสุด ตอนที่มาถึงวงก็เล่นไปแล้วหลายเพลงแหละ คนดูแตกแตนมากเราเลยได้ยืนดูไกล ๆ ตรงโซนเข้าเวที งานนี้ดีอย่างคือถึงแม้จะอยู่ไกล แต่ซาวด์อะไรยังได้ยินดีอยู่เพราะเขาติดลำโพงสองจุด หน้าเวทีกับโซนกลางแถว FOH ตอนนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่มแล้ว เรามาถึงตอน ‘Ghosts Again’ เพลงจากอัลบั้มล่าสุดทั่นพอดี แล้วก็เป็น ‘I Feel You’ กับ ‘A Pain That I’m Used To (Jacques Lu Cont Remix)’ ตามด้วยอีกเพลงเท่ ‘World in My Eyes’ ที่อุทิศให้กับ Andrew Fletcher มือคีย์บอร์ดที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 2022 มีการเอาภาพของเขาขึ้นบนจอ LED ด้วยทำเอาซึม จากนั้นก็เล่น ‘Stripped’

Depeche Mode. Photo credit: Eric Pamies

ระหว่างนั้นเราอยากจะไปดู Swans มาก ๆ แต่วงเล่นอยู่ที่หอประชุมหน้างานอีกแล้ว ไกลเกิน ยอมตัดใจไม่ไปก็ได้ก็วิ่งไปดู Gigi FM ที่เวที Pull & Bear ข้าง ๆ กับเพลงสวย ๆ เต้นเพลิน ๆ จริง ๆ เธอเคยมาเล่นที่ De Commune แต่รอบนั้นเราติดอะไรสักอย่างเลยไม่ได้ไป ดูได้แปปเดียวก็ต้องวิ่งไปดู Four Tet ที่ Amazon นี่ฉันรู้สึกมีบุญได้ดูน้าเขาหลายรอบอยู่นะ ตอน 2018 ก็ได้ดูแต่เขาเล่นเวทีริมหาดเล็ก ๆ ตอนกลางวัน กับปีเดียวกันเขามาเล่นที่ Siwilai City Club ปี ตอน 2019 ก็มาเล่น Wonderfruit มู้ดดีจัด แล้วในปีนี้น้าก็กลับมาอีกได้เล่นเวทีใหญ่ไปเลย เรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์ที่เล่น drum n bass แล้วก็หยิบเพลงฮิตมารีมิกซ์อย่างกวนนั่นคือเพลงของ Carly Rae Jepsen Call Me Maybe (ID? Remix) กับอีกเพลงที่เขาชอบเล่นนั่นคือ ‘Looking at Your Pager’ ที่เราต้องเคยได้ยินเสียงร้องไอคอนิกอันนั้นแน่ ๆ

Four Tet. Photo credit: Christian Bertrand

เราวิ่งกลับมา Depeche Mode เพราะนัดเจอเพื่อนที่นี่ แต่สุดท้ายหากันไม่เจอ ทว่าโชคดีมากที่ทันได้ฟังเพลงดัง ‘Just Can’t Get Enough’ กับ ‘Never Let Me Down Again’ พอดี ปิดท้ายด้วย ‘Personal Jesus’ ได้ไม่จบดี เราก็ต้องวิ่งไปที่เวที Dice เพื่อดูอีกวงมาแรง Nation of Language ซึ่งถ้าใครชอบ new wave ยังไงก็ต้องชอบวงนี้ เพราะทำได้ถึงเครื่องมากจริง ๆ เหมือนเดิม วิ่งจากฝั่งขวาสุดของงานวิ่งมาถึงเวทีซ้ายสุด เรียกว่าตีนแตกได้ แต่คุ้มเพราะมาทันเพลงใหม่ที่พวกเขาเพิ่งปล่อยไปนั่นคือ ‘Weak In Your Light’ พอได้ฟังสด ๆ ซินธ์อุ่น ๆ เพราะมากเลยเพลงนี้ ตามด้วย ‘Rush & Fever’ และเพลงที่เราชอบคือ ‘This Fractured Mind’ ทรงพี่นักร้องนำนี่เขาอิทธิพล Ian Curtis เสียงแบบ Morissey แบบมาเต็ม ๆ เลย แล้วพอเล่น ‘From The Hill’ ไปได้นิดนึง เราก็ปล่อยให้เพื่อนดูไปเพราะจะวิ่งไปดู Kendrick Lamar ที่ Estrella Damm ซึ่งตอนเดินผ่าน Boiler Room ขณะนั้น CCL กำลังเล่นพอดี อยากเข้าไปมาก เปิดดีมาก แต่กลัวอดพี่แกก็เลยออกวิ่งต่อ พอไปถึงเคนดริกก็คือเขาเล่น ‘Alright’ แล้ว ยืนดูอยู่เพลงนึง ก็วิ่งกลับมาที่ Cupra เพื่อดู Bad Religion อีกวงพังก์เก๋าจาก 80s แต่พอเข้าโซนเวทีแล้วคนแน่นขนัด ไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้จริง ๆ เลยยืนดูเพลงนึงเหมือนกันแล้วโดดกลับไปที่ฝั่งขวา แล้วก็ได้เจอกับเพื่อนสักทีที่โชว์ Fred again… ตรงเวที Santander ข้าง ๆ เคนดริกนั่นแหละ 

Kendrick Lamar. Photo credit: Sharon Lopez

Fred again… ดีเจไฟแรงดังเป็นพลุแตกช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ได้ร่วมงานกับตำนานอย่าง Brian Eno และอีกหลาย ๆ คน เรารู้จักเขาจากหนังเรื่อง Triangle of Sadness ที่มีเพลง ‘Marea (we’ve lost dancing)’ ในนั้นแล้วถูกต้องมากเลยตั้งใจจะมาดูไลฟ์เขาสักหน่อย ก็ได้เห็นว่าคนเป็นล้านล้นออกมาเกือบถึงทางเข้าเวที ตอนนั้นเขากำลังเล่น ‘Baby Again..’ ที่เป็นงานแจมระหว่าง Skrillex กับ Four Tet ชวนเต้นสับ ๆ ซึ่งสามคนนี้เคยไปเล่นด้วยกันที่ Coachella มาแล้ว ส่วนวิชวลก็ปั่นประสาทมากเพราะเป็นมุมกล้องโคลสอัพหน้าเขาตอนกดบีตรัว ๆ ต่อด้วย ‘Jungle’ ที่ได้แซมพ์งานคลาสสิก ‘Immortal’ ของ Elley Duhé มาใส่ โดนเส้นสายหนึบอย่างนี่มาก ตามด้วย ‘Turn On the Lights again..’ ที่ทำกับ Swedish House Mafia เอาเพลงของ Future มาทำใหม่ แล้วก็เป็น ‘Rumble’ ‘Faisal (Envelops Me)’ ‘Danielle (Smile On My Face)’ กับงานจาก Blood Orange ที่เอามาทำในสไตล์เขา ‘Chanel vs. A New Error (Fred Again.. Mashup)’ เต้นจอย ๆ ไปได้แปปนึงก็รู้สึกว่าเพลงเริ่มไม่ค่อยโดนแล้ว เลยยอมไม่รอเพลงโปรดก็ได้

Fred again… Photo credit Eric Pamies

น่าเสียดายที่เดินไปดู Goat Girl ตรง Plenitude, Mura Masa ที่เล่น Boiler Room กับ Kyary Pamyu Pamyu ซึ่งอยู่อีกฟากไม่ไหว เลยมาหาที่ลงที่เวทีข้าง ๆ แทน ตรง Pull & Bear ตอนนี้ John Talabot กำลังเล่นอยู่ เปิดดีม้ากกกก เขาคนนี้เคยมาเล่นที่ De Commune แต่เราก็พลาดอีกเหมือนกัน (ต้องมาตามเก็บถึงสเปนเลยเรอะ) เต้นอยู่สักพักก็ต้องวิ่งกลับไปดู Yves Tumor ที่ตอนประมาณตีหนึ่งครึ่งเขาเล่นอยู่ที่ Cupra ก็ได้ฟังเพลง ‘Echolalia’ ได้ร้องท่อน ‘อะอะอะอ้าว อะอาว อะอะอาว’ สมใจ ชุดเขาแซบปังมาก แล้วก็วิ่งกลับมาที่เดิมเพราะอยากจะดู Skrillex ฮ่า โตมากับ dubstep ก็ต้องขอยลพี่เขาซะหน่อย

จะบอกว่าที่เวที Estrella Damm นี่คือคนยังแน่นอยู่ต่อเนื่องจากโชว์ที่แล้ว แล้วเขาก็เปิดเพลงดีมาก ๆ ในช่วงต้นเซ็ต แต่เล่นไปสักพักก็ต้องหยุดเล่น เพราะอยู่ดี ๆ ก็มีไฟลุกที่สปอตไลต์ตัวนึง เขาพูดออกไมค์บอกให้ทุกคนไม่แตกตื่น ให้ทีมงานมาดับไฟ แต่คนดูก็ทยอยเดินออกไปกระจุกตัวกันที่ Pull & Bear รอให้โชว์กลับมาเล่นตามปกติ (จริง ๆ เวที Pull & Bear เวทีนี้ไม่ค่อยแน่นหรอกเวลาเฮดไลเนอร์เล่น เราเลยมักจะใช้เป็นที่หลบภัยเวลาไม่รู้จะดูอะไรดี ตอนนี้ถูกยึดเรียบร้อย) ระหว่างนั้นทีมงานก็มาแก้สถานการณ์ ค่อย ๆ ลดระดับเครนลงมาเพื่อให้โฟมดับเพลิงสามารถฉีดขึ้นไปได้ พอเริ่มดับไฟก็ได้ยินเสียงปรบมือเชียร์จากคนดู เป็นอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ๆ เรากับเพื่อนขี้เกียจรอเลยเดินไปที่อื่นก่อน 

Skrillex. Photo credit: Sergio Albert

Unwound กำลังเล่นตอนเวลาตีสามที่เวที Plenitude ใครสายโพสต์ฮาร์ดคอร์นี่สะใจเลยนะเพราะหลายวงที่เล่นงานนี้มาทรงนี้เยอะมาก แล้ววงจาก 90s วงนี้ก็จัดโหดได้สะใจเสียงแตก หูดับ โยกกันคอแทบหลุดกับ ‘For Your Entertainment’ ‘Usual Dosage’ Valentine Card’ ‘Kantina’ จอย ๆ ไปได้สักพักก็ขอวิ่งกลับไปดู Daphni ตอนตีสี่ที่ Pull & Bear ตอนที่เดินกลับไปก็เห็นว่า Skrillex ขึ้นเล่นตามปกติแล้ว รอบนี้ก็หวดดั๊บสเต็ปฟาด ๆ ทำเอาเราเดินไปเต้นไปเพื่อไปยังอีกเวที ของเขาสุดจริงถึงแม้ว่าดั๊บสเต็ปจะไม่ใช่แนวเพลงยอดนิยมของสายอิเล็กทรอนิกในยุคนี้แล้ว แต่ก็สนุกย้อนวัยดี

พอถึง Daphni หรือ Caribou ซึ่งก็เคยมาเล่นที่ไทย และเราเคยได้ดูเขาตอนรอบก่อนแล้ว สังเกตว่าจะชอบทัวร์คู่กับ Four Tet ยืนดูได้แปปนึงอีกเหมือนกันเพราะพอเริ่มเล่นเฮาส์ ดิสโก้ แล้วนี่ก็ไม่ค่อยจอย เดินกลับไปที่ Cupra เพื่อดู VTSS B2B LSDXOXO เมาไฟหน้าสั่น หวดกันแบบแตกแตนมาก คนเยอะมาก ๆ ก่อนจะไปต่อ Channel Tres ที่เวที Ron Brugal เป็นโชว์สุดท้ายกับเฮาส์สับแตก ชาวเควียร์โว้กกันจอยมาก คุณแม่มาก แซบมากเว่อ 

Channel Tres. Photo credit Paco Amate

เสียดายที่วันนี้เรากับเพื่อนไม่ค่อยมีแรงอยู่จนจบ อันที่จริงมีอีกคนที่อยากดูมากตอนตีห้าคือ TSHA เพราะคนนี้เขาเล่นสาย UK garage ที่เราชอบ แต่ก็ขอนอนเอาแรงนะ เพราะวันที่ 3 จะเป็นวันสุดท้ายแล้ว น่าจะเดินวิ่งหนักหน่วงกว่าวันที่สองที่ทำสถิติไปได้ 47,000 กว่าก้าว มีไลน์อัพน่าสนใจทั้ง DOMi & JD BECK, bar italia, Arlo Park, My Morning Jacket, The Voidz, St. Vincent, Caroline Polachek, Death Grips, Overmono และ John Cale จาก The Velvet Underground ที่เป็นอีกหนึ่งในตัวตัดสินใจให้เรามางานนี้ ไม่ว่ายังไงชีวิตนี้ก็ต้องดูสดให้ได้

+ posts

อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy