สนุกกันแบบเต็มอิ่มสองวันเต็ม ๆ ไปแล้วในงาน origami SAI 2024 Live in Bangkok ได้เปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเวทีที่ดนตรีไร้พรมแดน ด้วยแจ๊สหวาน ๆ กรูฟฟังก์จัดจ้าน และบีท R&B สุดลื่นไหลจากศิลปินชั้นนำของค่ายเพลงญี่ปุ่น origami PRODUCTIONS เป็นครั้งแรกที่คนไทยได้สัมผัสโชว์ของ ทั้ง Shingo Sekiguchi, Kan Sano, และ Nenashi และศิลปินในค่ายอีกหลายคน พร้อม Michael Kaneko ที่กลับมาอีกครั้งพร้อมเซ็ตที่สนุกกว่าเดิม พร้อมด้วยสองวงไทยอย่าง Max Jenmana และ temp. ล้วนเป็นโชว์ที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในไทย
สำหรับทุกคนแล้ว origami SAI จึงไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตทั่วไป แต่คือการสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ให้กับดนตรีที่แตกต่าง สร้างแรงบันดาลใจ และเปิดประตูสู่โอกาสในการแลกเปลี่ยนดนตรีของทั้งสองประเทศที่สดใหม่และน่าตื่นเต้นกว่าเดิม เราอัดแน่นความสนุกของทั้งสองวันให้ทุกคนได้อ่านกันอีกครั้ง
14 ธันวาคม 2567
สำหรับวันแรกเรามาถึงตั้งแต่ 6 โมงเย็น ก็มีขาย Merch มีอะไรมากมาย เราก็สอยของกันรัว ๆ เพราะราคาดีมาก แถมวงแรกจะเล่นตั้งแต่ 1 ทุ่มเลยด้วยเพราะมีหลายศิลปิน บัตร 500 บาทไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว
เปิดเวทีในค่ำคืนแรกด้วย Shingo Sekiguchi เขาละลายพฤติกรรมของคนดูด้วยการทักทายเป็นภาษาไทยอย่างน่ารัก ด้วยการแนะนำตัวเองในฐานะมือกีตาร์ ก่อนจะพาทุกคนเข้าเซ็ตของเขาด้วยสไตล์แจ๊สที่งดงาม North Wing แผ่ความอบอุ่นผ่านคอร์ดอ่อนโยน ก่อนจะยกระดับจังหวะขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ ใน Everyday I Feel Your Heart เสียงร้องนุ่มละมุนถูกสอดประสานกับกีตาร์ที่ชวนฝัน แต่ละโน้ตเสมือนส่งยิ้มให้ผู้ฟังไปด้วย ขณะที่ Tender Rose เติมสีสันด้วยดาต้าเปียโนอันอ่อนโยน ท่วงทำนองกีตาร์ที่ชวนให้ทุกคนหน้าเบี้ยวตามคอร์ดที่เขาขยี้ลงไป ก่อนจะไปเพลงสุดท้าย เขาทิ้งท้ายถึงการร่วมงานกับ Max Jenmana ซึ่งฟังได้แล้วบนสตรีมมิ่งตอนนี้ ก่อนจะปิดโชว์ด้วย Origami Song ที่พาอารมณ์ทุกคนทะยานขึ้นไปด้วยโซโล่กีตาร์อันเร้าร้อน เสียงดิสทอร์ชันดังกระหึ่มราวกับเสียงคำราม ทำเอาผู้ชมต่างโยกหัวตามไปทุกคอร์ด
จากนั้น mabanua ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมทักทายอย่างสุภาพและพาพวกเราเข้าสู่ช่วงเวลาอันแสนอบอุ่น Heartbreak at Dawn โอบกอดโสตประสาทของเราอย่างนุ่มนวล ตามมาด้วย Blurred ที่ให้ความรู้สึกราวกับถูกนวดด้วยเสียงดนตรีที่ไพเราะ Coffee Excess เองก็ช่วยเติมความละมุนผ่านจังหวะนุ่มลื่นเหมือนกาแฟที่เข้มข้นกลมกล่อม
ต่อด้วย brkfstblend (เบรกฟาสเบลน) วงหน้าใหม่ที่ประกอบด้วย Michael Kaneko, Keity อดีตมือเบส Lucky Tape และ Tetsushi Kasuya มือกลอง Yogee New Waves ซึ่งเป็นเซอร์ไพรส์โชว์สำหรับเราในคืนนี้มาก หลังจากเช็กเครื่องดนตรีกันแป๊ปนึงก็ทำลายความเงียบด้วยจังหวะตู๊มต๊ามสุด ๆ แบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมขอเสียงเชียร์จากทุกคนแข่งกับดนตรีอันเร้าร้อนของพวกเขา Cannon Ball เปิดตัวด้วยกลิ่นอายดิสโก้ยุคเก่า กีตาร์และเบสสอดประสานไปมาราวกับวงสนทนาที่ออกรส ส่วนกลองก็ชวนปลุกจังหวะบางอย่างที่ทำให้เราอยากโยกตาม Fine Love อยู่กับจังหวะฟังก์แสนสนุก ก่อนจะระเบิดด้วยโซโล่ที่ทำให้เราแทบคลั่ง Sober ลดจังหวะลง ถ่ายทอดความเจ็บปวดที่หวานละมุน แต่ละคอร์ดกีตาร์เสมือนเตือนให้เราจำได้ว่าหยดน้ำตาก็สามารถมีรสชาติที่งดงามได้
City Habits พาเรากลับมาสู่แจ๊สอีกครั้ง ด้วยการหยอกล้อกันอย่างมีชีวิตชีวาระหว่างกีตาร์และเบสที่โต้ตอบกันอย่างมีเสน่ห์ ซึ่งหลังจากนั้น Michael Kaneko ก็สารภาพว่าพวกเขาเพิ่งรวมวงได้เพียงไม่กี่เดือน แต่การได้มายืนอยู่ในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ครั้งแรก็ดีใจมากแล้ว คนดูก็ปรบมือให้กำลังใจกันเต็มที่ ก่อนพวกเขาจะบรรเลง 2am ที่ล่องลอยเข้ามาด้วยท่วงทำนองเนียนนุ่ม ก่อนจะสลับจังหวะในครึ่งหลังด้วยความเร่าร้อน พร้อมเร่งจังหวะให้พุ่งพล่านขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างถูกสะกดให้เต้นตามและไฮป์กันสุด ๆ
จากนั้น Max Jenmana เดินขึ้นเวทีพร้อมทักทายแฟน ๆ อย่างเป็นกันเอง เขาเริ่มต้นด้วย Drunk Texting ที่อบอุ่น ก่อนจะเร่งจังหวะให้ฮุกสุดท้ายสนุกขึ้น ก่อนจะบรรเลง 3 เพลงไทยที่เรารักอย่าง ถ้าพระอาทิตย์ ที่ใส่พลังร็อกแบบเต็มพิกัด ขณะที่ ไวน์ ได้รับการเติมสีสันใหม่ด้วยกีตาร์ที่สดใส คนดูก็ช่วยกันร้องตามดังสนั่น แล้วแต่เธอ เองก็เข้าถึงอารมณ์สุด ๆ ต่อด้วย Demons พาผู้ชมล่องลอยไปกับบรรยากาศอันเศร้าสร้อย ก่อนจะหยิบอูคูเลเล่ขึ้นมาเล่นในเพลง Silver Lining ความหวานและแรงบัยดาลใจที่ล้นทะลักออกมาจากทุกตัวโน้ตก็ชวนผ่อนคลายมาก ก่อนจะทิ้งท้ายด้วย Feel Again และ All to Know ร้อยเรียงเมโลดี้อบอุ่นที่เหมือนโอบกอดทุกคนไว้ด้วยความสบายใจ
การมาถึงของ Kan Sano แม้จะเลทไปนิด แต่ทุกคนก็ยินดีที่จะรอ เขาทักทายผู้ชมเป็นภาษาไทย ก่อนจะเปิดโชว์ด้วย Magic! ที่ปล่อยกรูฟจัดจ้านและคาดเดาไม่ได้จนทั้งฮอลล์ต้องอ้าปากค้าง ไทม์ซิกสุดแปลกผสานกับเสียงสังเคราะห์หลากสีสัน ทุกบาร์เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ที่เซอร์ไพรส์ตลอดเวลา เรียกว่าละลายพฤติกรรมก็เกินเรื่องไปมาก ก่อนจะดึงทุกคนกลับมาด้วยดนตรีป็อปสบาย ๆ อย่าง とびら ที่เติมจังหวะสนุก ๆ ด้วยลูกเล่นดนตรีมากมาย ตามด้วย I MA กับบีทที่เร้าอารมณ์และเสียงร้องที่ลงตัวนั่นเท่มาก และ My Girl ที่พลังไม่แผ่วลงเลย พร้อมท่วงทำนองเปียโนที่หวานหยดของ Kan Sano เอง
เมื่อถึง Baby On The Moon เขาก็แท็กทีมกับ Shingo Sekiguchi อย่างสนุกสนาน เคมีของทั้งคู่ทำให้ผู้ชมเคลิบเคลิ้มไปพร้อมกับพวกเขา และข้ามไป 逃避行レコード และ image ที่โดดเด็งไม่แพ้กันด้วยจังหวะฟังก์เด้ง ๆ ชวนเต้นตาม ก่อนจะขยับจังหวะลงมาหน่อยใน Natsume ปล่อยกรูฟฟังก์พาทุกคนเคลิบเคลิ้มไปกับจังหวะสนุก ๆ และอีกไฮไลท์ที่ดีที่สุดของโชว์คือเมื่อเขาลดทอนทุกอย่างลงเหลือเดี่ยวเปียโนในเพลงสุดท้าย いかれたBaby โดยไม่ต้องพึ่งลูกเล่นหรือไฟตระการตาใด ๆ Kan Sano ก็สามารถสะกดทุกคนเอาไว้ได้กับจังหวะช้า ๆ ซึ้ง ๆ พร้อมเสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วฮอลล์
สุดท้ายของค่ำคืนนี้คือ Jam Session สุดพิเศษของ Shingo Sekuguchi และ Max Jenmana พร้อมเพลงใหม่ที่ทำด้วยกัน ซึ่งจะโชว์ที่นี่เป็นครั้งแรก กับเพลง Good Day กับไลน์กีตาร์ของ Shingo ที่ปล่อยโซโล่สุดเร้าร้อนโดยมีเสียงร้องของ Max พาเราล่องลอยไปตามความสนุกสนานของโชว์ เวทีเริ่มแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อศิลปินคนอื่น ๆ อย่าง Kaneko, วงของ Kan Sano, brkfstblend, และ mabanua ขึ้นมาร่วมแจมกันในเพลง Lovely Day ของ Bill Withers เพลงชาติของบาร์แจ๊สกับพลังของออลสตาร์ไลน์อัพทำให้มันพิเศษมาก ๆ เปลี่ยนบลูปริ้นต์แห่งนี้ให้กลายเป็นเวทีคาราโอเกะสุดอบอุ่นที่ทุกคนก็ร้องและปรบมือไปพร้อมกัน ปิดวันแรกไปอย่างสวยงาม
15 ธันวาคม 2567
วันนี้เรามาเจอกับทุกคนเร็วขึ้นหน่อย เพราะประตูเปิด 18:00 และ Kan Sano ขึ้น 18:30 จากที่ดู Kan Sano แบบวงเมื่อคืนแล้ว ทำให้ตื่นเต้นที่จะได้ดูเขาแบบเดี่ยวในวันนี้ด้วยเหมือนกัน ว่าบรรยากาศจะแตกต่างกันขนาดไหน
เมื่อ Kan Sano ปรากฏตัวพร้อมคีย์บอร์ดเพียงตัวเดียว เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความน้อยแต่มากด้วยฝีมือมันเป็นยังไง ทุกแทร็กที่เขาเล่นในวันนี้ส่งผ่านโน้ตเปียโนที่นุ่มนวล พร้อมเสียงร้องที่ชวนให้รู้สึกใกล้ชิดและอบอุ่น โดยหยิบหลาย ๆ เพลงจากโชว์เมื่อวานมาเรียบเรียงใหม่ได้ไพเราะจับใจ ไม่ว่าจะเป็น とびら หรือ My Girl จนกระทั่งเขาเชิญมือแซ็กโซโฟนขึ้นมาร่วมเวที เติมความโรแมนติกให้กับจังหวะที่เรียบง่าย เราทุกคนต่างตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของเขา ทุกโน้ตลงจังหวะอย่างพอดิบพอดีและทิ้งความประทับลงไปถึงกลางใจ แทร็กสุดท้ายที่เขาร้องเองพร้อมเสียงแซ็กที่แสนหวาน ทำให้ความรู้สึกราวกับลอยอยู่เหนือเมืองสีนีออนนี้ไปไกลแสนไกล
ต่อจากนั้น Ovall ก็ก้าวขึ้นเวที ปลุกความอบอุ่นให้คุกรุ่นในฮอลล์ด้วยเสียงเปียโน ก่อนจะพาเข้าสู่บรรยากาศ R&B ที่นุ่มนวลชวนหลงใหลในเพลง Take U to Somewhere ด้วยเสียงกีตาร์อันโดดเด่นของ Shingo Sekiguchi ตามมาด้วย Winter Lights ที่เข้มข้นด้วยแจ๊สฟิวชันอันดุดันสะกดทุกหัวใจ 影 ยังคงเร้าร้อนผสมกับบีทอันละมุน ก่อนที่วงจะขอบคุณผู้ชม พร้อมบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้แสดงในประเทศไทย เรียกเสียงปรบมือให้กำลังใจมากมาย
ก่อนพวกเขาจะจัด Come Together ที่เปี่ยมด้วยฟังก์หนานุ่ม โซโลกีตาร์ที่คำรามด้วยดิสทอร์ชันของ Shingo Sekiguchi ดึงดูดทุกสายตาและอารมณ์อันพุ่งพล่านไปหมด ก่อนจะมี Nenashi เข้ามาร่วมเวทีหลังจากกลับมาจากการเดินทางอันน่าตื่นเต้นที่เชียงใหม่ การมาถึงของเขาเติมสีสันใหม่ให้กับค่ำคืนไปอีกขั้น Find You in the Dark ปล่อยของด้วยไรม์แร็ปของ Nenashi ลงตัวไปกับกรูฟที่ละมุนของวง เติมความดิบและมีมิติยิ่งขึ้น ตามมาด้วย It’s All About You ฟังก์สนุกสนานที่เร่งจังหวะและไรม์แร็ปไหลลื่น สลับกับไลน์กีตาร์สุดเร่าร้อนของ Shingo Sekiguchi ที่ดึงทุกสายตาไว้บนเวที
Nenashi ขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้ เพราะมันมีความหมายกับทีม origami PRODUCTIONS มาก ๆ พร้อมชวนให้ผู้ชมทุกคนร้องคลอตามในเพลงสุดท้าย แม้จะดูยากในครั้งแรก แต่ครั้งที่สองทุกคนก็ทำได้แบบราวกับนัดแนะกันไว้ก่อนอย่างนั้น ก่อน Ovall จะส่งเข้าเพลง Cubism ที่เต็มไปด้วยจังหวะที่หยุดเต้นไม่ได้ เมื่อ Shingo กดสวิตช์ดิสทอร์ชันอีกครั้ง ผู้ชมทุกคนต่างเตรียมพร้อมร้องตามที่นัดแนะกันไว้ได้โคตรสนุก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเพลงนี้ด้วย ทุกคนในฮอลล์สร้างดนตรีไปพร้อมกันจนมันสนุกเกินพิกัดไปเลย
หลังจากพักหายใจกันไม่นาน Nenashi ก็ปรากฏตัวพร้อมกับดีเจคู่ใจอีกครั้งบนเวที ไม่รอช้าพวกเขาก็จัดเพลง Lost in Translations โชว์เสียงร้องที่นุ่มละมุนชวนหลงใหลท่ามกลางบีทที่หวานเยิ้ม เติมเสน่ห์ด้วยทรอมโบนสุดเซ็กซี่ ก่อนขอบคุณผู้ชมอีกครั้งที่มาเจอกัน และเล่าให้ฟังว่าตัวเองเพิ่งปล่อยอัลบั้มเดบิวต์ในชื่อ Found in Tokyo พร้อมไปเล่นที่เชียงใหม่มาแล้วที่ LabbFest. และ Poy Festival เขาเล่าว่าเขาชอบกินข้าวซอยมาก ๆ และกินเป็นอาหารกลางวันเกือบทุกวันระหว่างที่อยู่ที่นั่น ทำให้ทุกคนเอ็นดูเขาเข้าไปใหญ่
จากนั้นเสียงทำนอง R&B อบอุ่นจาก Gonna Be Good สัมผัสทุกคนด้วยเสียงร้องอบอุ่นของเขา ก่อนที่ outro จะชวนคนดูร้องแอดลิบไปด้วยกัน Say My Name พลิกอารมณ์ขึ้นอีกขั้นด้วยบีท trap ระบายด้วยเครื่องเป่าได้กลมกล่อม พร้อมโชว์ไรม์เท่ ๆ และท่อนฮุกที่โดนใจ STAY ผสานบีทและเสียงร้องของเขาไว้อย่างลงตัว ก่อนปล่อยซินธ์โซโลที่พุ่งพล่าน ก่อนจะเล่าต่อถึงการเล่นดนตรีร่วมกับ FORD TRIO ที่เชียงใหม่ พร้อมหยิบเพลง Unlikely Soul มาโชว์ครั้งแรกที่นี่ด้วยกรูฟนุ่ม ๆ พร้อมสกิลการแร็ปที่น่าหลงใหล และเซอร์ไพรส์คนไทยด้วยการแร็ปภาษาไทยเข้าไปอีกด้วย เรียกเสียงเชียร์จากคนดูได้กระหึ่ม
จากนั้นปรับอารมณ์ให้สนุกขึ้นด้วย LIME ที่เปลี่ยนฮอลล์ให้กลายเป็นแดนซ์ฟลอร์ ชวนทุกคนขยับไปตามเสียงดนตรีอย่างไม่ได้นัดหมาย และ Satellite Lovers ก็เข้ามาเติมสดชื่นด้วยบีทที่นุ่มนวล Scars ที่พาอารมณ์ทุกคนพุ่งทะยานสู่ความสนุกอีกครั้ง โดยมี mabanua และ Shingo Suzuki กระโดดขึ้นมาร่วมแจม ความเข้มข้นของดนตรีพุ่งขึ้นอีกขั้นเมื่อกลองและเบสผสานเข้ากับบีท ท่อนแร็ปที่ไหลลื่นไปตามบีท ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่ กรุงเทพฯ เป็นของ Nenashi โดยสมบูรณ์แบบ
ต่อด้วยวงไทยอีกวงในทัวร์ครั้งนี้ temp. เดินขึ้นเวทีพร้อมกระจายความอบอุ่นไปทั่วทั้งฮอลล์ตั้งแต่ intro ของเพลง Fortune Teller โปรยแสงอาทิตย์ไปทั่วสถานที่ด้วยป็อปที่สดใส ท่อนโซโลกีตาร์ที่แสนนุ่มนวลสร้างรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของทุกคน Adult Video ก็สานต่อกรูฟก่อนหน้าได้สวยงาม เสียงเครื่องเป่ายอกเย้าอย่างสนุกสนาน The Art of Letting Go สลับจังหวะซึม ๆ ได้นุ่มนวลเข้ามาจับใจ ก่อนที่ Corn & Cheese จะพาเราโยกตัวไปมาช้า ๆ ตามจังหวะ แล้วกลับมาระบายความสดใสด้วย Metal Carifonia ปลุกพลังในฮอลล์ด้วยจังหวะสนุก ๆ พร้อมเติมอิมโพรไวส์เท่ ๆ ใน outro ได้อยู่หมัด
ก่อนจะขนเพลงฮิตมาให้เราเต้นตามทั้ง Lucky Bastard, Moon Light และ Ring Ring ในเมดเลย์แสนน่ารักชวนอารมณ์ดี แล้วก็จากกันไปด้วย Miss Summer ที่พี่นิคฟรอนต์แมนชวนร้องตาม ทุกคนต่างตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดอย่างเต็มใจ เสียงดนตรีที่สดใสและกลมกล่อมทำให้ทุกอย่างลงตัวอย่างที่สุด
แล้วก็มาถึง Headliner วันที่สองอย่าง Michael Kaneko ที่ส่งจังหวะนุ่มนวลของ goodlite เข้าไปเล่นในใจของทุกคนทันที พร้อมพาทุกคนสนุกไปกับดนตรีของเขาอย่างเต็มที่ ตามมาติด ๆ ด้วย Atmosphere ที่ร่ายกรูฟอันอบอุ่นละมุนละไม ทำเอาไหล่ของทุกคนค่อย ๆ โยกตามเบา ๆ Daydreams ล่องลอยเข้ามาราวกับการงีบหลับใต้ร่มเงาไม้ยามบ่าย
แต่ไมค์กี้(ชื่อเล่นของเขา)ก็ไม่ได้ปล่อยให้บรรยากาศเนิบช้านานเกินไป ด้วย Long Island Iced Tea ยกระดับความสนุกขึ้นมาด้วยไลน์กีตาร์ที่หวานล้ำจนทำเอาหลายคนเผลอทำหน้าเบี้ยวตาม จากนั้น Lovers ก็เติมความโรแมนติกให้ค่ำคืนนี้ได้พอเหมาะโดยมีโซโล่กีตาร์บลูส์คมกริบของไมค์กี้ที่หวานหยดจนแทบหยุดหายใจ ก่อนที่เสียงแซกโซโฟนเข้ามาเติมความเนียนละมุนให้ทุกห้องของเพลงนี้
จู่ ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไปด้วย Heartache ท่อนฮุคที่เร้าร้อนด้วยเสียงกลอง กีตาร์ แซก และเบสที่โดดเด้งพุ่งประสานกันได้กลมกล่อม จากนั้นไมค์กี้หยุดพักเล็กน้อย พร้อมกล่าวขอบคุณทุกคน และถามว่าใครเคยเห็นพวกเขาเล่นที่ Maho Rasop Festival ก่อนหน้านี้บ้าง มือหลายคู่ยกขึ้นพร้อมเสียงเชียร์ เขายิ้มขอบคุณอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะส่งท้ายทุกคนด้วย Strangers in the Night กับป๊อปร็อกที่สุดมัน โซโล่แซกช่วงกลางเพลงมันโดดเด่นเหลือร้าย ตามมาด้วยไลน์กีตาร์ที่ขยี้จนถึงสู่จุดพีค แล้วเร่งจังหวะกันขึ้นไปอีกขั้นจนทุกคนกระโดดตาม เมื่อเพลงสุดท้ายจบลง เสียงปรบมือและหัวใจของคนดูทุกคนต่างมอบให้ไมค์กี้ทั้งหมดใจ
ใช้เวลาไม่นาน Michael Kaneko ก็ชวน Kegie และทีม temp. ประกอบด้วยพี่อูล, พี่นิค, และพี่รุตม์ ขึ้นมาบนเวที พร้อม Jam Session ที่น่าตื่นเต้น ไมค์กี้เล่าว่าพวกเขาเพิ่งเริ่มทำเพลงร่วมกันได้ไม่กี่เดือน และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้โชว์ร่วมกัน พวกเขาเริ่มต้นด้วยเพลง Alone น้ำเสียงนุ่มลึกของไมค์กี้และไลน์กีตาร์ที่อบอุ่น ในขณะที่เครื่องเป่าที่เป็นเอกลักษณ์ของ temp. ก็ช่วยเติมสีสันความสดใสลงไป ทุกโน้ตอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของมิตรภาพใหม่ที่ก่อตัวขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือการปะทะกันอย่างอ่อนโยนของสไตล์ดนตรีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
หากแค่นั้นยังไม่พอ พวกเขาเชิญทุกคนขึ้นมาร่วมเวทีสำหรับการคัฟเวอร์เพลง Best Part ของ Daniel Caesar ช่วงเวลานี้เปรียบเสมือนการรวมตัวของตัวเทพ แย่งกันเล่นเครื่องดนตรีนั่นนี่ พร้อมมาเจอกันของเครื่องเป่าทั้งสามคนจากไทยและญี่ปุ่น เสียงร้องของทุกคนประสานกันจนไม่มีกำแพงภาษา เรียกว่าเป็นภาพที่อบอุ่นสุด ๆ
เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายล่องลอยหายไป หลังจากเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องด้วยความสนุกที่ยาวนานจนเหมือนตลอดกาลนั้นได้สิ้นสุดลง หลักฐานของมิตรภาพทางดนตรีระหว่างไทยและญี่ปุ่นก็เหลือเพียงความทรงจำที่ชัดเจนงดงามในใจของทุกคน การได้มาเจอกันในงานนี้ เหมือนการเชิดชูความหลากหลายทางดนตรีและเหมือนคำมั่นสัญญาอันไร้เดียงสาว่าการทดลองอันงดงามที่ยิ่งใหญ่กว่านี้จะตามมาแน่นอน ขอเพียงทุกคนไม่หยุดฟังเพลงกัน เราก็ยังเฝ้าฝันถึงงานครั้งต่อไปได้แน่นอน
สำหรับ origami SAI แล้วนี่ไม่น่าใช่แค่คอนเสิร์ต แต่เป็นการเดินทางอันแสนยาวนานของเสียงดนตรี การเฉลิมฉลองและการเชื่อมต่อกันอย่างลึกซึ้ง ถักทอเป็นความรู้สึกดี ๆ ระหว่างศิลปิน ทีมงาน คนดูและสถานที่ เพื่อสร้างที่ทางของดนตรีใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นทั่วโลกต่อไป เราในฐานะพยานคนหนึ่งของงานนี้ก็ดีใจที่เกิดสิ่งนี้ขึ้นในบ้านเรา เพราะยังมีคนเชื่อในดนตรีอยู่ ทั้งการคอลแลปส์ของศิลปินบ้านเราและศิลปินของค่ายก็น่าจะสร้างความเป็นไปได้อีกมากมายที่กำลังจะตามมา หลังจากนี้ก็อยากให้ความเชื่อมั่นเหล่านี้ยังเติบโตต่อไปในใจทุกคน
ติดตามความเคลื่อนไหวของค่าย origami PRODUCTIONS ได้ที่ Website, Youtube, Facebook และ Instagram
ขอบคุณรูปจาก dessin the world
ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา