Maho Rasop Festival 2023 Day 2 ปิดปีด้วยโชว์เจ๋ง ๆ จากวงระดับโลก

527 views
Maho Rasop 2023 Day 2 ESC Park NUMCHA Soft Pine DB Inches Squid ATARASHII GAKKO Michael Kaneko The Yers Alvvays HOMESHKAE envy Interpol Balming Tiger

มาถึงวันที่สองกันแล้ว สำหรับ Maho Rasop Festival 2023 ซึ่งวันนี้มีแต่วงเจ๋ง ๆ แน่น ๆ โดยเฉพาะเฮดไลเนอร์ที่ทุกคนรอคอยอย่าง Interpol หรือ ATARASHII GAKKO! ที่ทุกคนตื่นเต้นสุด ๆ พร้อมศิลปินน่าสนใจทั้งไทยและเทศอีกมากมาย แต่ส่วนตัวนี้รอไหวที่จะได้อาบซาวด์ของ envy แล้ว กลับไปสนุกกับวันนั้นกันอีกรอบใน Voyage อันนี้กันจ้า

อ่านต่อ การเปลี่ยนผ่านบนเส้นทางดนตรีของ Paul Banks จาก Interpol

วันนี้เราเข้างานกันเร็วตามปกติเพื่อดูโชว์ตั้งแต่เวลาบ่ายสาม ที่เวที Maholan ศิลปินไทย NUMCHA ประเดิมกันเป็นโชว์แรกท่ามกลางอากาศร้อนระอุ (แต่ร้อนไม่เท่าวันแรก) เสียงใส ๆ ช่วยประโลมใจคนดูที่ท้าแดดตบเท้ามาให้กำลังใจกันจำนวนไม่น้อยทีเดียว เธอชวนทุกคนมาสนุกกันในเพลง Powder Blue ป๊อปใส ๆ ชวนโยก ต่อด้วย Cup of Tea ซึ่งเป็นเพลงโปรดจากอัลบั้มใหม่ของเธอ และเพลงหวาน ๆ Ladybug จากนั้นก็เชิญมือไวโอลินรับเชิญขึ้นมาร่วมเล่นในเพลง Kryptonite กับเพลงช้า ๆ และมีดีเดียมจำนวนนึง ก่อนจะเล่นเพลงฮิตของเธออย่าง Keep Cold และ In My Private Room

หลังจากขายวงนี้ไปเยอะมาก ในที่สุดก็จะได้ดู D.B. Inches แล้ว แถมยังเป็นวงเปิด Viman Stage ด้วย แนะนำอีกครั้งว่าพวกเขาคือวง shoegaze 4 ชิ้น ผู้ชนะจากรายการ The Global Playground Audition ของ Sony Music Japan จนได้รับคัดเลือกมาเล่นที่มหรสพ

นอกจากซิงเกิลแรก ๆ ของพวกเขาอย่าง eve หรือ Thursday แล้ว ก็ยังขนเพลงจาก EP ล่าสุด Instinct, Filter Bubble มาเล่นทุกเพลงแบบเบิ้ม ๆ โชว์ของพวกเขาก็แน่นสุด ๆ เหมือนวงที่มีประสบการณ์เต็มเปรียบ ซาวด์ของพวกเขามีลูกเล่นที่น่าสนใจในฐานะวง shoegaze ไม่ว่าจะเป็น Donuts และ Hikari ที่มีกลิ่นของ dream-pop ที่ยังนุ่มนวลแต่ซ่อนความดุดันของรีเวิร์บไว้ได้เท่มาก แถมเล่นได้เนียนกริ้บ Fake as a Girlfriend ที่ฉายให้เห็นความป็อปของวงที่สนุกตามไปด้วย 0303 และ That I ที่ระเบิดความร็อกได้โคตรมันจนเราต้องโยกหัวตามทั้งเพลง ก่อนจะจบด้วย Soft ที่ฟาด Wall of sound ใส่คนดู กับ fade out ที่ทุกคนปล่อยพลังกันสุดตัวเค้นความเดือดดาลจนทุกคนต้องซี๊ดปากตาม

ต่อกันเลยกับอีกวงที่เราตื่นเต้นว่าจะได้ดูตั้งแต่ประกาศไลน์อัพ ถือว่าเป็นวันนี้ที่รอคอยจริง ๆ SQUID วงจากอังกฤษกับฝีไม้ลายมือหาตัวจับยาก รายละเอียดการคอมโพสเพลงที่ยุบยับและชวนลุ้นไปตลอดเพลง ว่าจะพาเราไปถึงจุดไหนของความมัน ตอนเวลาสี่โมงนิด ๆ วงขึ้นเลตไปประมาณ 5 นาที แดดยังไม่ร่มดี ก็มีคนดูมายืนรอกันแล้ว วงหยิบเพลงมัน ๆ ทั้ง Swing (In a Dream) ต่อด้วยเพลงโปรโมตอัลบั้มอย่าง Narrator และยังขนมาทั้ง Undergrowth, Leccy Jam, GSK, After The Flash พร้อมเสียงกีตาร์แจ๊สมาสเตอร์เด้ง ๆ เบสจริงสลับซินธ์เบสเนียนกริบ ตามด้วยอีกเพลงมันจังหวะทะมัดทะแมงใน Paddling, Pamphlets ที่มือกลองกับกีตาร์สลับกันร้อง คือมันเท่มากนะจุดนี้ ส่วน Bladers พอโมดูลาร์เข้า คาวเบลขึ้นเคาะ คนเริ่มวิ่งเข้าไปมอชกันอย่างบ้าคลั่ง ถือเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุอีกวงที่ใช้ซาวด์กีตาร์แบนด์ผสมอิเล็กทรอนิกอย่างมีชั้นเชิงทำเอาเราดิ้นไม่หยุด

วันนี้เราเพิ่งได้รู้มาว่าเขาจะมี Secret Show กันที่บูธ Johnny Walker กันด้วย แล้วศิลปินคนแรกที่ขึ้นเล่นก็คือ View From the Bus Tour หรือเฟนเดอร์จาก Solitude is Bliss ที่ขนเพลงเพราะ ๆ จากงานชุดใหม่และเก่าเอามาขับกล่อมคนฟัง มีผู้ชมตามมาดูกันเพียบ เป็นอีกไวบ์ที่มาในช่วงแดดร่มลมตก ลมพัดเย็นสบายเข้ากับเพลงจริง ๆ

ทางฝั่ง Boiler Room วันที่สองก็ได้เริ่มขึ้นแล้วกับ LA YUMAR หรือคุณแว่นจาก XTC แก๊งคนดนตรีมัน ๆ ที่วันนี้ขนเพลงเก๋ชวนสับเท้ามาสร้างบรรยากาศรื่นรวมให้กับ Sawan Club มาทั้ง tropical, house รวมถึงเบรกเท่ ๆ หลากรสมากจริง ๆ

Soft Pine วอร์มอัพโชว์ช่วงเย็นที่วิมานสเตจด้วย Another Half กับเซ็ตเพลงครึ่งแรกที่คอยนวดเส้นพร้อมสัมผัสลมโกรกเบา ๆ อาทิ I Thought I Could Be Alone, Baby Gotto Go, Like a Freak ในบรรยากาศที่หากอธิบายสั้น ๆ ก็คงได้รูปประโยคว่า “just drinking beer and getting chill” แล้วสิ่งที่เราชอบรองลงมาในทุก ๆ โชว์ของพวกเขาคือการหยิบ Only You Know และ Indoor Plants มารีอะเรนจ์ใหม่ โดยเลือกปรับไลน์เบส ริฟฟ์กีตาร์และกรูฟกลองให้มีลูกเล่นมากขึ้น ก่อนพาเราไปเจอทำนองน่ารักน่าหยอกอย่าง Afternoon Shroom คู่เสียงเคาะเพอร์คัสชั่นกับการเขย่าเชคเกอร์ที่ทำให้อยากโยกตามเมโลดี้เพลง หรือกระทั่ง Higher State of Mind ที่เปลี่ยนถ่ายไปสู่ช่วงครึ่งหลังก็ยังคงความยียวนฉบับซอฟต์ไพน์ได้ดี ซึ่งในเพลง Skinky, XTC of Yesterday และ Another Coast Ride ก็มีจังหวะอัพบีทที่กวนประสาทประกอบท่อนสาดซาวด์เท่ ๆ ที่พุ่งทะยานแบบไม่มีจุดสิ้นสุด สังเกตลีลาของพี่ฝรั่งข้างหน้าก็การันตีแล้วว่าเซ็ตนี้สนุกจนต้องออกสเต็ปจริง

ATARASHII GAKKO! หนึ่งในวงที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามหลังจากการประกาศมาร่วมไลน์อัพ นั่นคือสี่สาวไอดอลแนวใหม่ (?) จากญี่ปุ่น ATARASHII GAKKO! ที่ผู้ชมรอคอย ต้องบอกว่าเราคาดหวังกับโชว์นี้มากประมาณนึง เพราะจากที่ติดตามมานาน แต่ละเพลงหรือมิวสิกวิดิโอที่ปล่อยออกมาไม่เคยทำให้ผิดหวัง และสะใจในความบ้าคลั่งของสาว ๆ ทีนี้ก็เลยอยากรู้ว่าพวกเธอจะดันเพอฟอร์แมนซ์ไปสุดที่จุดใด

ไฟหรี่ลงและแอลซีดีด้านหลังเล่นวิดิโอพร้อมเพลงเปิดตัวแบบ โอเพนนิ่งธีมในอนิเมะมาก ชื่อขึ้นแนะนำตัวคาแร็กเตอร์แต่ละคนพร้อมเสียงกรี๊ดจากคนดูเป็นระยะ ๆ เรามองไปรอบ ๆ เห็นคนมารอดูพวกเธอแน่นเวที Maholan และมีจำนวนไม่น้อยที่ใส่ชุดกะลาสีมาเชียร์ จากนั้นเธอก็เปิดด้วยเพลง SEISHUN WO KIRISAKU HADO ไวบ์แบบเพลงสปีดเมทัลเมะ ๆ แจป ๆ นู แร็ป ดั๊บสเต็ป ไรมาหมดผสมในเพลงเดียวกัน แล้วเปิดมาเพลงแรก สึสึกะ ลีดเดอร์ชีก็โยนรองเท้าใส่คนดูกันไปเลยจ้า ท่าเต้นก็เห็นแล้วปวดคอ เฮดแบงกันสุดตัวมาก เพลงต่อมา เพลงสองอนิเมะ opening piano lead บอกว่า อาตาราชิ มาจากญี่ปุ่นจ้า ชวนตบมือ บ้าบอ ฮาร์ดคอร์ เจร็อก เพลงต่อมาก็ฟีลเพลงการ์ตูนจบ Saishuu Jinrui เปียโนลีดไพเราะที่ได้ฟีลป๊อป 80s ญี่ปุ่น แต่พลังเพอร์ฟอร์มคือทะลุโลกไปแล้ว สึสึกะตะโกนว่า พวกเราอาตาราชิ มาจากญี่ปุ่นจ้า แล้วชวนทุกคนตบมือไปพร้อม ๆ กัน จบเพลงพวกเธอก็แนะนำตัวกัน แต่ละคนมีคาแร็กเตอร์เฉพาะตัวของใครของมัน ที่ดูแล้วทั้งตลก ทั้งโมเอ้ ก่อนจะเล่นเพลง CANDY เทคโนมากันเลยทีนี้ ส่วน Fantastico นี่ก็มาดีปเฮาส์เก๋ ๆ เลย คือตอนนี้หันไปคุยกันแล้วว่า วงนี้ทำเพลงมันทุกแนวเลยวุ้ย วาไรตี้มาก ม่วนมาก แล้วต้องช็อกเมื่อพวกเธอเล่น Pineapple Kryptonite แบบรีมิกซ์ พร้อมเปลี่ยนชุดเป็นนักเรียนแก๊ง (ชุดดำยาว ๆ ที่เด็กเฮี้ยวเขาใส่กันน่ะ) ตอนนี้เราเต้นกันตีนแตกไปแล้วจ้ะ กับ Tokyo Calling เพลงใหม่ที่มาพร้อมท่าเต้นที่เป็นไวรัลไปแล้วตอนนี้ แต่ตัวเพลงเป็นฮาร์ดเทคโนพลุแตกระเบิดระเบ้อ ชวนทุกคนชูมือทำท่าทุบตึกตาม สนุกมากตอนดูคือตาแตกกันไปเลย จบเพลงนี้พวกเธอก็บอกว่าเหลือ 3 เพลงสุดท้ายแล้วนะ นั่นคือ Otona Blue เป็นดิสโก้ฟังก์ฟีลซิตี้ป๊อปประสานเสียงกันคิ้วท์มาก ส่วนสึสึกะลงมาเต้นกับคนดูไปเลย แล้วก็ถึงเวลาเพลงฮิต NAINAINAI ที่ทำให้หลายคนได้รู้จักกับพวกเธอ ฮิปฮอป 90s เท่ ๆ เนื้อเพลงเสียดสีบิวตี้สแตนดาร์ดญี่ปุ่น กับท่าเต้นที่ไม่ห่วงสวยกันเลย ต้องบอกว่าเป็นวงที่เอนเตอร์เทนเก่งมาก โบกมือให้คนดูแล้วคนดูก็โบกมือให้กลับมา จากนั้นก็ลากันไปด้วย Free Your Mind ที่สึสึกะปีนมาจาก FOH แล้วกรีดร้องออกมา สะใจมาก ก่อนที่จะ wrap up โชว์ด้วยการรวมตัวกันบนเวทีอีกครั้ง และทำความเคารพแบบในชั้นเรียนญี่ปุ่นก่อนจะจากพวกเราไป 10 10 10 เลยโชว์นี้

ขณะเครื่องกำลังติดและเวทีสวรรค์คลับก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ช่วงหกโมงเลยแวะมาแดนซ์กับ MAFT SAI สักหน่อย นอกเหนือความอนาล็อกที่เขาคัดสรรเอาแผ่นไวนิลในคลังตัวเองมาเปิดแล้ว ดีเจมาฟท์ไซยังหยิบซาวด์พื้นบ้านที่ก้ำกึ่งระหว่างยุค 40s ถึง 50s มามิกซ์อัดอิเล็กทรอกนิกบีทและแซมป์สไตล์ World Music จากแถบเอเชียไปจนถึงแอฟริกันที่หนึบหนับรื่นเริง โดยเสน่ห์ของแผ่นเสียงที่ทำให้ได้ซาวด์แบบไซคีย้อนยุคยิ่งทำให้โชว์บันเทิงมาก แล้วเซ็ตนี้ไม่ได้มีแค่ริทึ่มชวนสับขาอย่างเดียว แต่ยังมี downtempo พร้อมลูกหมอลำที่ได้ใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติสุด ๆ ซึ่งช่วงกลางเซ็ตเป็นต้นไป คนก็เริ่มทยอยเข้ามาขยับร่างกายอย่างไม่ขาดสายจนเต็มเต๊นท์ไปอีก!

อีกศิลปิน Secret Show ที่ Johnny Walker ชวนมาเล่นคือตัวจี๊ดจากปีที่แล้ว Alec Orachi ที่เคยได้เล่นช่วงที่ร้อนที่สุดของงาน แต่ปีนี้เขาได้เล่นช่วง prime time มีคนตามมาดูกันเพียบรอเชียร์เขาในเพลงสุดฮิตอย่าง บ่หมิ่นบ่มี และมีเพลงใหม่ที่ได้ sampling เพลง กากี่นั้ง ของ Joey Boy ด้วย เท่สุด ๆ

สารภาพว่าไม่เคยฟังเพลงของ Michael Kaneko มาก่อนเลย ซึ่งเราเองรู้จักเขาจากเพลง Best Part of Us ที่เขาไปทำกับ AmPm เลยคิดว่าเขาทำพวกแดนซ์มิวสิกซะอีก กลับมาที่เวทีวิมาน Michael Kaneko กำลังบรรเลงเพลงอย่างหวานเยิ้ม สะกดทุกคนด้วยเครื่องเป่าอบอุ่นจนทุกคนปรบมือไปตามจังหวะ โชว์นี้เขามาพร้อมกลอง กับคีย์บอร์ดควบแซกโซโฟน ซึ่งดนตรีส่วนใหญ่ก็จะมีความ city-pop เบา ๆ ติดกลิ่นดิสโก้นิด ๆ แต่ Kaneko เองก็บาลานซ์ความสนุกของคนดูไปได้จนจบโชว์ ด้วยความสามารถที่เขามีอย่างเต็มเปรี่ยม

พร้อมจัด Driveaways เปิดด้วยโซโล่กีตาร์นุ่ม ๆ กับคีย์บอร์ดที่ล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะขึ้น intro สนุก ๆ ความป็อปที่มีกลิ่นแจ๊สนิด ๆ นี้ ช่วยล้างหูจากวงโหด ๆ ในงานได้อย่างดี ก่อนจะแร็พภาษาญี่ปุ่นได้เข้าถึงอารมณ์สุด ๆ ท่อนโซโล่ที่ปล่อยของแบบจัดเต็ม พร้อมชวนทุกคนร้องตาม “ตูดัดตาดัดตาดา” เร้าให้คนดูสนุกไปกับเพลงนี้ พร้อมสลับชายหญิงอีกแต่ทุกคนก็ให้ความร่วมมือเต็มที่

หรือช้า ๆ ซึ้ง ๆ แบบ Tides ที่ยังไม่ทิ้งไลน์ r&b เท่ ๆ เนื้อเพลงโรแมนติดสุด ๆ ก็มีเหมือนกัน ก่อนจะหยิบกีตาร์โปร่งมาโชว์ในเพลง Long Island Ice Teas พร้อมโซโล่ได้อย่างนุ่มนวล ฮุกก็เอาคนดูอยู่หมัด ก่อนจะเติมกลองกับแซกเข้ามาให้เข้มขึ้น แล้ว fade out ด้วยกีตาร์โปร่งหวาน ๆ อีกรอบ ก่อนจะจบด้วย Breakdown และ Lovers ที่ทุกคนปล่อยของกันสุด ๆ ดนตรีแน่น พร้อม Kaneko ยังได้โชว์พลังเสียงเท่ ๆ อีก แซกโซโฟนก็ขโมยซีนสุด ๆ เหมือนกัน กลายเป็นอีกหนึ่งโชว์ที่ชอบมาก ๆ ในปีนี้

อีกหนึ่งไฮไลท์ของปีนี้ คือโชว์ครั้งท้าย ๆ ของวง The Yers ตำนานวงร็อกของไทยที่กำลังจะ disband แล้ว ครั้งนี้พวกเขาจัดเต็มให้กับชาวมหรสพเลย ทั้งการหยิบทุกเพลงที่เราชอบมาเล่นให้ฟัง ตั้งแต่เพลงลับแลอย่าง ปริศนา ที่โดดเด่นด้วยเสียงซินธ์แหลมบาดใจ เสียงกีตาร์สุดเท่, พร้อมยอมตาย เสียงกีตาร์เสียดแทง “พร้อมจะตายไปกับ The Yers มั้ยฮะ” เรียกเสียงโหร้องลั่น, รถไฟ ก็ซัดลูกเล่นดนตรีอย่างบ้าคลั่ง ท่อนโซโล่ที่ปล่อยกีตาร์อาละวาดเลย, Loop และ เทียน พึ่อู๋ ก็พูดคุยสั้น ๆ ว่าเพลงต่อไป พี่โบ๊ทจะเล่นกีตาร์ พร้อมคุยภาษาอังกฤษสั้น ๆ ก่อนจะบอกว่าเราพูดอังกฤษไม่เก่ง แต่รักทุกคนนะ

ก่อนครึ่งหลังจะจัดเพลงฮิตมารัว ๆ ทั้ง โรคส่วนตัว ที่สลับให้พี่โบ๊ทเล่นกีตาร์แทนได้มันสุด ๆ กะเอาคนดูตาย, ระหว่างขับรถ ที่ทุกคนรอคอย แต่ท่อนโซโล่กลายเป็น Love Will Tear You Apart เฉย เรียกเสียงกรี๊ดลั่นเวที ก่อนจะจัดให้เข้ม ๆ หนึ่งฮุก แล้วกลับมาโซโล่เพลงตัวเองต่ออย่างเมามัน ฮุกสุดท้ายคนดูก็สู้ตาย โดดตามทั้งแผง, พร้อม เสพติดความเจ็บปวด และ การสื่อสาร ที่เรียกว่าคอมพรีทสำหรับแฟนเพลงสุด ๆ เป็นอีกหนึ่งโชว์ในงานที่สานฝันแฟนชาวไทยสุด ๆ

รอบนี้ Homeshake มากันแบบฟูลแบนด์พร้อมซาวด์สุดยวบยาบชวนลงไปนอนคุยกับกองดอกไม้ดอกหญ้าบนพื้นมาก โชคดีที่มีลมนิดหน่อยให้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอากาศเบาสบาย เหมือนกำลังโดนนวดจุดคลายเส้น ด้วยดนตรีซินธ์ป๊อปผสมอาร์แอนด์บีสลับกับการขับกล่อมบนเสียงร้องสังเคราะห์และลูกกรูฟหวานหยดให้พอได้โยกย้ายช่วงบนไปมา เช่นเพลงเปิดโชว์อย่าง Feel Better จากอัลบั้ม Under The Weather ไล่เรียงไปจนถึงผลงานชุดแรก ๆ หรืออย่าง Every Single Thing, Khmlwugh, Give It To Me ก็เค้นเมโลดี้ยั่วยวนออกมาผ่านท่อนโซโล่กีตาร์แบบเอาตายเลย

ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ขยับเป็นจังหวะอัพบีทขึ้นอีกนิด โดยเว้นทำนองให้แต่ละเครื่องดนตรีเฉิดฉายอย่างบาง ๆ ซึ่งไลน์ดนตรีในบางช่วงก็แอบเซ็กซี่เหลือร้ายเหมือนกัน ก่อนปีเตอร์จะทักทายทุกคน แถมบอกว่าดีใจที่ทุกคนได้มาดูโชว์ปิดทัวร์ปีนี้ พร้อมแนะนำให้รู้จักกับญาติที่มาเป็นแบ็คอัพวันนี้ด้วย ถัดมาถึงช่วงเซอร์ไพร์สที่ Peter Sagar หันไปจับกีตาร์เอง ทำให้เพลงนั้นกลายเป็นเพลงร็อกดิบ ๆ ในทันทีกับท่อนโซโล่ที่ดุดันคล้ายเพลงดูมด้วยการคัฟเวอร์ Change (In The House Of Flies) ของวง Deftones ที่สาวกนูเมทัลมีกรี๊ด แล้วจบเพลงสุดท้ายด้วยเสียงกีตาร์ที่ออกลายโพรเกรสซิฟสุด ๆ

และการกลับมาเป็นรอบที่สองของอีกหนึ่งวงดนตรีที่ใครหลายคนรอคอย Alvvays ก็ไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง กับเซ็ตลิสต์จำนวน 17 บทเพลงจากอัลบั้ม Blue Rev, Antisocialites และผลงาน Self-Titled ชื่อเดียวกัน อาทิ Pharmacist, In Undertow, Adult Diversion, Tom Verlaine, Belinda Says ไปจนถึงเพลงฮิตที่ทำให้เรารู้จักพวกเขาแบบ Dream Tonite และ Archie, Marry Me ก็ถูกหยิบมาเล่น ประกอบวิชวลและโปรดักชั่นที่จัดเต็มกว่าเดิม แม้มอลลี่พูดว่าเธอมีอาการป่วยเล็กน้อย ทำให้เสียงร้องของเธอเปล่งออกมาได้ไม่เต็มที่มากนัก แต่เธอก็ควบคุมเสียงให้อยู่ในระดับคงที่ได้อย่างน่าประทับใจ ขณะที่ผู้ชมแน่นขนัดไปทั่วทุกย่อมหญ้าจนไม่สามารถฝ่าไปกลางวงได้ บวกกับเวลาโชว์ของแต่ละวงที่มีเหลื่อมกันบ้าง (ส่วนตัวแอบคิดว่าเป็นมนต์เสน่ห์และความท้าทายอย่างหนึ่งของเฟสติวัลสเกลใหญ่) ในช่วงใกล้สี่เพลงสุดท้าย จังหวะนั้นต้องตัดสินใจว่าจะอยู่จนจบหรือมุ่งหน้าไปดูวงอื่นในงาน ทันทีที่(จำใจ)เลือกได้ เราก็เดินสับเท้าจากมโหฬารไปวิมานสเตจกันต่อ

ตัวละครลับที่ทำให้ Boiler Room ลุกเป็นไฟ OCHEYACK ทำเอาเราเต้นไม่ลืมหูลืมตากับเพลงตั้งแต่เทคโนไปจนดรัมแอนด์เบส เท่ ดาร์ก แต่ยังแฝงเมโลดี้งดงาม ทางฝั่ง THAIBOY DIGITAL ตัวจี๊ดประเทศไทยที่ไปไฮป์ไกลถึงสวีเดน ก็ทำเอา Sawan Club แตก เขาคนนี้ได้รับความสนใจมาก ๆ กับฮิปฮอป แทร็ป ที่ยังสอดแทรกกลิ่นอายซับคัลเจอร์ไทย ๆ เข้าไปทำให้โชว์ turnt ไม่มีตก

อีกหนึ่งศิลปินที่สร้างความประทับใจทะลุปรอทให้ชาวเรฟอย่าง Nuh Peace ที่เราขอเรียกเขาว่าเป็น soft power ที่แท้จริง หยิบเอาเพลง ‘พี่กะเทย’ หรือ วาดไว้ ของ BOWKYLION มาอยู่ใน Boiler Room ได้นี่พีคไปหมด ยังไม่รวมฟาสต์เทคโน อินดัสเทรียลทุบตึก และเพลงยกล้ออีกมากมายที่ทำเอาฝรั่งคนไทยเซิ้งกันแบบไม่ลืมหูลืมตา

พบกับ Envy ร็อกแบนด์ยุค 90s ระดับตำนาน ความเก๋าเกมส์ที่เราหรือใครก็ไม่สามารถละสายตาจากพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งส่วนผสมที่มีความเป็นโพสต์ร็อก โพสต์ฮาร์ดคอร์ และสำเนียงเสียงแบบ screamo ทำให้บรรยากาศตรงหน้าเอิบอิ่มไปด้วยอารมณ์สุขเศร้า ทรงพลัง และคลุ้มคลั่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่เราอยากขอปรบมือให้ดัง ๆ และคิดว่าน่าจะสร้างความประทับใจให้กับประสบการณ์การชมครั้งนี้มาก ๆ คือซาวด์สุดคลีนและเอเนอจี้ของสมาชิกวงที่ช่วยกันถ่ายทอดเมโลดี้ดนตรีออกมาได้อย่างสวยงามไร้ที่ติ ตั้งแต่ Footsteps in the Distance, Swaying Leaves and Scattering Breath, HIKARI, Farewell to Words และเพลงอื่นในเซ็ตลิสต์ จนเรายกให้เป็นหนึ่งในวง MVP ประจำปีนี้เลย ยิ่งเจอลีลาควงบอดี้ของมือกีตาร์กับท่อนแหกคอตะโกนของพี่ Tetsuya Fukagawa ยิ่งทำให้เราเหมือนได้ปลดเปลื้องความอัดอั้นภายในใจจริง ๆ

ถึงคิวของเฮดไลเนอร์ที่หลายคนรอคอย Interpol โพสต์พังก์ในตำนานจากแมนฮัตตันในที่สุดก็บินลัดฟ้ามาให้แฟนชาวไทยได้ฟังเพลงฮิตกันสด ๆ ชาวร็อกรีบพุ่งตัวกันไปจับจองพื้นที่ Maholan Stage เพื่อรับพลังจากเสด็จพ่อโดยทั่วกัน ซาวด์อื้ออึงกระหึ่มชนิดที่ว่าสะท้านไปทั้งตัวทำให้ยืนใกล้มากไม่ได้นัก แต่แฟน ๆ ก็ได้ฟินกันจากเพลงตั้งแต่ชุดแรก Turn On the Bright Lights มาจนถึงชุดล่าสุด The Other Side of Make-Believe เริ่มกันเลยที่ Untitled แล้วเขยิบมาที่ชุด Antics ใน C’mere, Narc, Take You on a Cruise, Not Even Jail, Evil ส่วน Marauder ที่เป็นชุดโปรดของหลาย ๆ คนก็มีเพลงอย่าง The Rover ต่อด้วย My Desire ที่ลูปกลองสุดเร้าปลุกความมัน และเราได้ยินโดรนซาวด์กีตาร์เพนทาทอนิกฉ่ำหูมาก ๆ จากนั้นพอลก็บอกว่าจะเล่นเพลงใหม่จากชุดล่าสุดอย่าง Into the Night Song แล้วกลับมาที่ Roland, Pioneer to the Falls, Obstacle 1, All the Rage Back Home, Rest My Chemistry จากนั้นก็กลับมาชุดใหม่ Toni และแน่นอนว่าที่ถูกใจชาวเราก็คือเขาหยิบเพลง No I in Threesome กลับมาเล่นให้ได้ฟังกัน ต่อด้วย The New, PDA และส่งท้ายกันไปใน Slow Hands ฟินน้ำหูน้ำตาเล็ด

ถัดมาเป็น Balming Tiger กับเปิดตัวด้วยการฉายภาพทุ่งหญ้ากว้างสุดน่ารัก ส่วนมุมขวาของจอเป็นสมาชิกต่อแถวเหมือนรถไฟที่ค่อย ๆ เดินเข้าเต๊นท์ ก่อนจะเดินเรียงออกมาจากหลังเวทีเพื่อมาทักทายคนดูที่รอไฮป์อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเพลงแรกถูกเปิดผ่าน DJ Booth พวกเขาก็สวมจิตวิญญาณ Performers ที่เรียกเสียงเชียร์คลอเพลงเด้ง ๆ สไตล์อิเล็กทรอนิกผสมฮิปฮอปไปตลอดทั้งโชว์ เช่น Kolo Kolo, Moving Forward, Buri Buri, JUST FUN! ประกอบย่านซับเบสที่ทำเอาใจเต้นตุ๊มต่อม ตอนนั้นใครไหวไปก่อนเลย เพราะโซนหน้ามีปอดสั่นกันบ้างแหละ ท่อนดรอปบีทเป็นเพลง SEXY NUKIM ก็อ่อนระทวยสุด ๆ หรือช่วงกลางเซ็ตที่พวกเขาชวนแฟนคลับยกแขนโยก “turn left…turn right” ก็สนุกสนานไม่แพ้เพลงอื่น โดยเฉพาะเพอร์ฟอร์มนี่โคตรเซอร์เรียล

ปิดปีแบบเหนื่อยสุด ๆ แถมปวดหลังสุด ๆ ทำให้เพิ่งนึกได้ว่าเรามา Maho Rasop เป็นปีที่ 4 แล้ว ซึ่งแต่ละปีก็ได้การพัฒนาหลาย ๆ อย่างทั้งไลน์อัพและการจัดการภายในงาน อย่างเรื่องรีฟันที่เคยเป็นปัญหาในปีก่อน ๆ ปีนี้ก็รวดเร็วขึ้นจนเราสบายใจ ส่วนเรื่องไลน์อัพเราไม่ต้องพูดถึงเพราะเราสนับสนุนทุกวงที่ได้มาอยู่แล้ว แต่อาจจะมีฟีดแบ็กเล็กน้อย เรื่องการซื้อน้ำเปล่าที่ไม่ควรอยู่แถวเดียวกับเครื่องดื่มอื่น ๆ น่ามีแถวแยกไปเลยเพื่อความรวดเร็วสำหรับคนไม่ดื่ม รวมถึงค่าครองชีพในงานแอบสูงขึ้นกว่าปีก่อนนิดนึง อยากพิจารณาให้มีอาหารต่ำกว่าร้อยเยอะกว่านี้ และที่เพื่อน ๆ พวกกันคือโซนห้องน้ำที่มืดเกินไปก็อยากให้ปรับปรุง

แต่ที่สำคัญคือเสียงจากเวที Sawan Club ที่ตีสองเวทีอย่างหนักหน่วงในบางโชว์จนคนบ่นกันอุบในโซเชียล หรือศิลปินบางคนก็พูดบนเวทีเลย ไม่ใช่ความผิดของศิลปินที่เล่นดีเจนั้นเลย และพอเข้าใจได้คือข้อจำกัดเรื่องสถานที่ อยากให้ทางผู้จัดหาทางออกที่ลงตัวสำหรับเวทีนี้ได้ในปีหน้าเหมือนกัน เอาใจช่วยค้าบ

สุดท้ายนี้ อยากขอพูดในฐานะสื่อละกันเพราะผู้จัดคงไม่สามารถพูดเองได้ แอบได้ยินว่าปีนี้สลับริชแบนด์กันเข้าอย่างไม่เกรงกลัว เบื้องต้นผู้จัดอาจจัดการเรื่องริชแบนด์ที่แน่นขึ้นในปีต่อไป แต่สิ่งที่เราอยากบอกกับแฟนมหรสพทุกคนคือ อย่าทำลายงานนี้ด้วยการรอบัตรฟรีหรือพยายามจ่ายเงินให้น้อยที่สุดเลย ทุกราคาบัตรผู้จัดน่าจะคิดมาดีแล้วว่าคุ้มค่า ถ้าชอบงานปีนี้มาก รอประกาศ Blind Ticket หรือ Early Bird แล้วรีบซื้อกันเถอะ แต่ถ้าทุกคนเอาเปรียบผู้จัดกันแบบนี้ มันอาจทำให้พวกเขาอยู่ไม่ได้แล้วเลิกจัดงานไปเลยก็ได้ การจ่ายเงินเพื่อซื้อบัตรไม่ใช่แค่ซัพพอร์ตผู้จัดอย่างเดียว แต่มันคือการซัพพอร์ตศิลปิน ค่ายเพลง ทีมงาน และคนที่ทำงานเบื้องหลังในอุสาหกรรมดนตรีทุกคนเลย ถ้าไม่มีงานดนตรีแบบนี้ สื่อดนตรีแบบเราก็ไม่รู้จะมีอยู่ไปทำไม เพราะฉะนั้น จ่ายค่าบัตรเพื่อซัพพอร์ตวงการดนตรีกันต่อไปเถอะครับ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่มาสนุกกันในงาน มาลุ้นกันว่า Maho Rasop Festival 2024 จะมีศิลปินคนไหนอีก แล้วจะมีวงไทยวงไหนได้ขึ้นเวทีระดับประเทศแบบนี้อีก มาตามลุ้นกัน ถ้า Blind Ticket มาเมื่อไหร่ เราจะรีบมาบอกทุกคนเลย เจอกันปีหน้าจ้า

+ posts

อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

+ posts

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist

+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy