ปีนี้อาจเป็นปีที่เรียกได้ว่าซีนฮาร์ดคอร์ในบ้านเรากำลังกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ด้วยจำนวนงานและวงดนตรีจากหลากหลายสัญชาติที่ต่อแถวเรียงกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และหากใครได้ติดตามข่าวสารบนโซเชียลมีเดียก็จะเห็นว่าโปรโมเตอร์แทบจะประกาศหนึ่งงานต่อหนึ่งเดือน จนแฟนเพลงต้องวอนผู้จัดทำแพ็คแกจตั๋วรายปีเลยทีเดียว โดยอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำหรับสายหนักประจำเดือนนี้คืองาน Holding On Showcase MMXXIII with Jesus Piece กับการมาเยือนไทยครั้งแรกของวงเมทัลคอร์จากฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา
ซึ่งงานนี้เป็นโชว์เคสที่ทาง Holding On Records ได้รวบรวมบรรดาศิลปินในสังกัดและอันเดอร์กราวนด์ซีนทั้งหมด 7 ชื่อ 7 สไตล์ที่ร่วมแชร์เวทีพร้อมการแสดงสดที่ลากยาวตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงห้าทุ่มของวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ภายใน Mr.FOX Livehouse ย่านรามอินทราที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเกือบครบครันอย่างห้องน้ำ บาร์เครื่องดื่ม และร้านอาหารในละแวกใกล้เคียง ด้านวิชวล ไฟสเตจ และระบบเสียงก็ค่อนข้างดี ฝั่งตัวเวนิวก็มีแยกชั้นลอยกับโซนเอาท์ดอร์ ทำให้บรรยากาศส่วนใหญ่ไม่ติดขัดหรือแออัดมาก
มาถึงบรรทัดนี้คงต้องสารภาพว่าเรายังไม่ค่อยคุ้นชินกับงานดนตรีสายนี้สักเท่าไหร่นัก แต่การไปชมคอนเสิร์ตแนวใหม่ ๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่ถ้าไม่ลองสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งก็คงไม่มีทางเข้าใจวัฒนธรรมคนดูหรือสิ่งที่ศิลปินอยากนำเสนอเป็นแน่ ไม่ใช่แค่เฉพาะฮาร์ดคอร์ แต่ยังรวมไปถึงแนวทางอื่นที่รอให้ทุกคนเปิดอกฟัง COSMOS VOYAGE ไฟล์ทนี้ เราจะพาตีตั๋วกลับไปคืนสำแดงฤทธิ์กัน
Rexrez วงดนตรีที่เดบิวต์ได้ไม่นานแต่ชั่วโมงบินเต็มเปี่ยม นำโดย “แก๊ป-ณัฐพงศ์ธร” หรือที่เรารู้จักเขาในฐานะเฮดค่าย กับแก๊งเพื่อนต่างโปรเจกต์ที่ขนเพลงจากอีพีชุด ‘STFU’ ประกอบด้วยซิงเกิลที่พอขึ้นจังหวะสับกลองมาก็ฮือฮาเลยสำหรับ ’Rather Be Dead’ ผลงานของวงระดับตำนานอย่าง Refused ที่พวกเขานำมาอะเรนจ์ใหม่ในสไตล์ของตัวเอง
ถัดมาเป็น Defect88 ที่เปิดตัวผ่านอินโทรแตกพร่า ก่อนตามด้วยผลงาน ‘D.I.Y.’ อาทิ ‘88’, ‘Defect’, ‘โลภ’ ที่พวกเขาระบายความอัดอั้นถึงผู้นำหลงอำนาจ และเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง ‘Vent’ กับการคัฟเวอร์เพลงของวง Drain และ Sepultura ที่ได้ใจเพราะน้ำเสียงโคตรถึงเครื่อง
ต่อกันที่ Hellmosphere กับการก้าวเท้าขึ้นเวทีพร้อมเพลงจากอีพี ‘Drowning In Sorrow’ ในสไตล์แทรชผสมเฮฟวีเมทัลที่โทนดาวน์ลงมาเล็กน้อยให้โยกตามได้ แต่พวกเขายังมีจังหวะดนตรีที่เร้าและไลน์ร้องที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความหนักแน่นกับความโอสคูลแบบต้นยุค
ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นวง Carry On ก็ตรึงเราไว้ผ่านเสียงตะโกน ท่อนคิกดรัมและการดีดเบส สแมชกีตาร์อย่างไม่ยั้งมือด้วยหลายบทเพลงจาก ‘CITY OF LIFE AND DEATH’ รวมไปถึงการคัฟเวอร์ ‘Thin Ice’ จากวง Guilt Trip และ ‘Thoughts and Prayer’ ของวง Inclination น่าจะเป็นรอบที่สองของปีนี้ที่เราได้ดูพวกเขาแบบเต็มตา ยืนยันคำเดิมว่าประทับใจเช่นเคย
น่าเสียดายที่เราวิ่งกลับมาไม่ทันดูโชว์ครึ่งแรกของ TBPH แต่สองเพลงสุดท้ายที่พวกเขางัดมาเล่นนี่สนุกสมกับเป็นวง OG แห่งยุค (TBPH ชื่อเต็ม TEN-BAHT-PER-HOUR เป็นวงดนตรีที่อยู่คู่ซีนมานานและชื่อวงน่าจะหมายถึงระบบร้านอินเทอร์เน็ตดีลชั่วโมงละสิบบาทอีกด้วย พวกเขาเคยฝากผลงาน EP ‘Welcome to the Riot’ ไว้ในปี 2008)
สำหรับไลน์อัพถัดมาอย่าง The Shredder วงดนตรีบีทดาวน์ฮาร์ดคอร์จากเชียงใหม่ที่เราเคยได้ยินชื่อมานาน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดูสักที พอถึงหน้างานจริง เพลงดันถูกจริตกว่าที่คิดไว้มาก เช่น ‘With Your Violent Twist’, ‘This Whole Game Is Mine’ และผลงานเพลงของวงรุ่นพี่อย่าง The Opportunity ตอนหันไปเห็นภาพกีฬามัน ๆ ในสมรภูมิรบโซนหน้าที่ต่างคนต่างถือค้อนเป่าลมไว้ทั้งซัดทั้งเหวี่ยงนี่เป็นอะไรที่โคตรบันเทิง
ก่อนจะไปเจอกับเฮดไลน์เนอร์ Whispers ได้ปลุกคนดูขึ้นมาจากขุมนรกที่ยกผลงานเพลงในอัลบั้ม ’Narok Bon Din’ และอีพีชุดล่าสุดอย่าง ‘A Split Document’ ด้วยการหวดจังหวะกลองและเมโลดิกไลน์ที่หน่วงหนักชวนเฮดแบงไปกับเสียงตะโกนต่อเนื่อง โดยระหว่างโชว์ก็มีแทรกสองเพลงใหม่ และปิดด้วย ‘Chaos Breed’ ที่พวกเขาดึงพลังเฮือกใหญ่เพื่อระเบิดออกมาผ่านลูกคอและท่อนโซโล่กีตาร์ที่สะท้านร่างกายสุด ๆ
และทันทีที่ไฟในห้องส่วนใหญ่ดับลง เหลือเพียงไฟรอบหน้าเวที Jesus Piece ก็เปิดพิธีกรรมและทำการเห่าหอนตอบรับกับคนดู ให้อารมณ์เหมือนหมาป่าเตรียมกลายร่างเป็นปีศาจยังไงยังงั้น เสียงคำรามจากฟรอนต์แมนพร้อมคำทักทาย “Bangkok, What’s up!” ยิ่งตอกย้ำว่าคืนนี้จะต้องดุเดือดอย่างแน่นอน แล้วก็เป็นไปตามคาด เซ็ตลิสต์กว่า 10 ถึง 12 บทเพลงจากผลงานทั้งสามชุด อาทิ ‘Self-Titled’, ‘Only Self’ และ ‘…So Unknown ถูกเล่นสลับตลอดโชว์ 40 นาที ด้วยเพอร์ฟอร์มแมนซ์ของวงที่แรงดีไม่มีตก ทำให้แฟนคลับไฮป์ได้เรื่อย ๆ แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการมอชและเซอร์เคิลพิทมาตั้งแต่ช่วงเย็นก็ตาม เราหวังว่าการมาเยือนไทยครั้งแรกในนามของวงและครั้งที่สองของ Aaron Heard จะแฮปปี้ไม่ต่างจากโชว์อื่น ๆ ในโซนเอเชียและออสเตรเลีย
แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist