COSMOS CON จัดเป็นปีที่สองแล้ว กับคอนเซปต์ง่าย ๆ ที่อยากพาวงต่างประเทศเจ๋ง ๆ มาปะทะกับวงไทยในวงโคจรเดียวกัน เพื่อสร้างบรรยากาศคอนเสิร์ตที่ไม่เหมือนใคร โดยปีนี้ใช้ชื่อว่า Space Invasion เพราะการมาถึงอย่างไม่คาดคิดของวงไต้หวันที่หลายคนรอคอยอย่าง Wendy Wander ซินธ์ป๊อปหวานบาดใจ เราจึงรวบรวมวงไทยที่เจ๋งไม่แพ้กันมาช่วยหยุดการรุกรานครั้งนี้ด้วยถึง 5 วง
โดยครั้งนี้ก็จัดที่ Lido Connect เหมือนเดิม แม้ไทม์มิ่งจะไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ทุกคนก็ยังมาเจอกันอย่างหนาแน่นและอยู่กันยาวถึงเที่ยงคืนเลย วันนั้นจะสนุกขนาดไหนกลับไปพร้อม Voyage กันเต็ม ๆ ในบทความนี้กัน
4 ธันวาคม 2566
เปิดเวทีด้วยความดุดันของวง Salad ก่อนวอร์มคนดูด้วย Wooden Bar และ The Ferris Wheel อันดุดัน วันนี้มีสมาชิกใหม่หน้าคุ้นคือ ฟ่ง VINI ที่ขึ้นมาเป็นคอรัสพร้อมสร้างวิชวลที่อ่อนโยนด้วย ก่อนจะจัด Fruity Love เวอร์ชั่นนี้ดูนุ่มนวลกว่าเดิม เสียงกีตาร์ยังคงกรีดร้องอย่างไพเราะ การเพิ่มเสียงร้องก็เติมความหวานให้เพลงด้วย ต่อด้วย Too Good To Be True ค่อย ๆ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น แล้วก็จัดเซ็ตลิสต์มัน ๆ เรียงกันออกมาเลยทั้ง The Outbreak ที่กลองดุ ๆ กับกีตาร์หวาน ๆ สอดประสานกันอย่างประหลาด กับทรานซิชั่นที่เล่นกับเสียงสังเคราะห์สุดประหลาดและอิมโพรไวส์กลองได้ใจสุด ๆ ใน Cordyceps ก่อนจะกระหน่ำเสียงกลองใส่เรากับกีตาร์รีเวิร์บสุดบ้าคลั่ง
Big Brother ที่ทุกชิ้นก็ละเลงดนตรีกันอย่างสุดพลัง ครึ่งหลังที่ยิ่ง intense กีตาร์ก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง กด distortion ยับ พอโลโก้เริ่มกระพริบหลายสีเท่านั้นแหละ ทุกชิ้นก็ใส่กันยับอีกครั้ง เหมือนทิ้งระเบิดลูกใหญ่หลังความเงียบ ต่อด้วยจังหวะกลองดุ ๆ ของ Another จนกลายเป็น post punk ไปเลย เสียงเบสที่ขยี้อย่างรุนแรงกับแพทเทิ่ลกลองที่ชวนโยกหัวตาม และส่งท้ายด้วย Tangerine Dream ทุกคนคือโยกหัวตามทุกลูกกลอง ฟ่งก็ช่วยคอรัสเบา ๆ เติมความกลมกล่อมให้เพลง ทิ้งท้ายด้วยเสียงสะท้อนจากกีตาร์อันบ้าคลั่ง
และรอบนี้ VVAS ก็มาพร้อมลุคใหม่ผ่านการปรับเปลี่ยนสไตล์จนได้ผลงานเพลงกลิ่นอายอัลเทอร์เนทีฟร็อกและโพสต์พังค์สุดคุมโทน พวกเขาเปิดโชว์ด้วยเพลง ‘The Discussion’ ที่โดมเตรียมซัดลูกกลองใส่เป็นเม็ด ๆ ก่อนส่งเข้า ‘Jogging’ และ ‘Blue’ ในริทึ่มชวนย่ำเท้ากับโซโล่ประกอบริฟฟ์กีตาร์วิ่ง ๆ ของชินที่ไม่เร่งรีบมาก ถือเป็นสามเพลงวอร์มอัพที่เราชอบทั้งไดนามิกและเมโลดี้เลย
โดยเซ็ตเพลงครึ่งหลัง อาทิ ‘Moving My Head’, ‘Shadow Explorer’, ‘Precious’ ไปจนถึงแทร็กที่ไม่เคยปล่อยที่ไหนอย่าง ‘Panic Attack’, ‘XXXXX’ ยังเหมือนเป็นช่วงผ่อนแรงที่วงเริ่มทยอยปล่อยของผ่านดนตรีจังหวะกลางและเบสไลน์เด้งหนึบ เผิน ๆ อาจดูเรียบง่ายแต่พอได้มาฟังหน้างานก็รู้สึกว่าเคมีหรือการดีไซน์เพลงก็มีมิติและลูกเล่นที่แตกต่างมาก แถมวงก็แอบทดลองเพิ่มซาวด์เอฟเฟกต์แปลก ๆ มาระหว่างโชว์ด้วย ซึ่งปกติสองหนุ่มโอ๊ต-โซ่ พวกเขาจะสลับไลน์ร้องประสานกัน แต่ในสองเพลงสุดท้ายอย่าง ‘Destestation’ กับ ‘Brutalism’ โซ่มือเบสก็ขอนำคอรัสด้วยตัวเอง ทำให้มู้ดเพลงเท่และแปลกไปอีกแบบดี
ครั้งนี้จะเป็น Soft Pine ครั้งที่ 4 ของเราแล้ว ฮา แต่ดูกี่ครั้งก็สนุกเหมือนเดิม เริ่มด้วย Another Half และ I Thought I Could Be Alone ที่ไฮป์ให้คนดูตื่นตัวขึ้นกับซาวด์สนุก ๆ ก่อนจะแนะนำตัวกันเป็นทางการ แล้วไวกิ้งตะโกนว่า “เลสโกกกกกก” แล้วจัด Baby Gotta Go ที่ทุกชิ้นประสานกันได้บันเทิงสุด Like a Freak และ Only You Know ที่สนุกไปแพ้เพลงก่อนหน้าเลย ก่อนจะเจอ intro อันหนักหน่วง กระตุ้นให้เราโยกตามกับ Afternoon Shroom ที่ท่อนโซโล่ก็เกเรสุด ๆ แล้วก็หยิบ Indoor Plants มาเรียบเรียงใหม่ได้นุ่มเกินบรรยาย ก่อนจะจัด Higher State of Mind ที่เราชอบมาด้วยความแจ๊ส แล้วกระฉากอารมณ์ด้วย Skinky และ XTC of Yesterday ทำเอาคนดูโยกกันสุด ๆ แล้วจบโชว์ด้วยเพลงเก่งของพวกเขาอย่าง Another Coast Ride ที่เอ็กซ์พูดออกไมค์ว่าขอให้มีจันทร์ที่สนุกแบบนี้ทุกสัปดาห์ ก่อนฮุกสุดท้ายจะอัดดนตรีกันสุดพลัง คนดูก็โยกหัวตามไม่หยุดไปทั้งเพลง
อ่านต่อ ‘Another Half’ อีกด้านของ Soft Pine ที่เราอาจไม่ค่อยคุ้น ฉีกซาวด์นุ่มสู่ความสนุกที่มากขึ้น
มาถึงอีกหนึ่งวงที่ทุกคนรอคอย ส่งตรงมาจากไต้หวันเลย หลังจาก Wendy Wander พร้อมบนเวทีแล้ว ก็ทักทายคนไทยอย่างเป็นกันเอง ก่อนจัดเพลง Love Trap จากอัลบั้มล่าสุดให้ทุกคนลองฟังเลย ก็จัดให้นิ่ม ๆ ขอเสียงคนไทย ทุกคนก็ตอบรับกระหึ่ม ท่อนโซโล่กรูฟเท่สุด ๆ ฮุกสุดท้าย ก็โชว์พลังเสียงจนเราตราตรึง การกระชากจบก็เท่ระเบิด ก่อนจะลดจังหวะลงมาแบบซึ้ง ๆ ใน She Loves Me เย้ายวนใจด้วยไฟสีแดง กับเพลงฟังก์หวานขึ้นตา เมโลดี้หวาน ๆ จากคีย์บอร์ดทำให้ทุกคนระทวยจนโยกตามทั้งเพลง แล้วมีท่อนแถมที่เท่ชิปหาย อัพบีทขึ้นมากับ Let Me in Your Heart เสียงกีตาร์หวาน ๆ ก่อนจะขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้ จังหวะคือสนุกเกินเบอร์มาก I Don’t Wanna Leave Tonight ที่ดนตรีคือร่าเริงเกินเบอร์ ไดนามิกของเพลงมีลูกล่อลูกชนให้เราสนุกไปกับทั้งเพลงเลย
ระหว่างนี้ก็มีปัญหากีตาร์สายขาด วงก็ชวนคุยกันไปเรื่อย ปรากฎว่ามีคนไต้หวันไม่น้อยมาดูด้วย พอทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเข้าเพลง Yes Today ที่นุ่มนวล มีใส่จังหวะหยุดมาให้เกิดไดนามิกให้เอาตัวเราเข้าไปในช่องว่างนั้น ก่อนจะเค้นอารมณ์ในท่อนฮุกได้ดราม่าสุด ๆ ต่อด้วย Effie กับการร้องประสานที่หวานเยิ้ม แม้กีตาร์เมโลดี้จะยังมีปัญหา แต่ทุกคนก็ช่วยกันแบกเพลงไว้ได้อย่างยังไพเราะ แต่พอถึงท่อนโซโล่ก็กลับมาเติมความหวานแบบ 120% ทันที ยิ่งช่วงท้าย ๆ คือขยี้อารมณ์สุด ๆ ไม่ช้าก็ปล่อยเมโลดี้ตัวแรกออกมา ทุกคนก็กรี๊ดเลยเพราะมันคือเพลง I Want To Be With You การแบ่งท่อนชายกับหญิง ยิ่งรู้สึกได้ถึงความดรามาติก ท่อนผู้ขายก็คือโชว์พลังเสียงเต็มที่ ท่อนโซโล่ก็มีคนโบกมือตามด้วยความอิน สมเป็นเพลงดังสุดของวง ก่อนจะซัดอีกเพลงจากอัลบั้มอย่าง Cherry Ocean ซึ่งมีสำเนียงที่ป็อปขึ้น แต่ยังทรงพลังเหมือนเดิม และลากันไปด้วยส่งท้ายด้วย Love Bomb จากอัลบั้มใหม่ของพวกเขาเหมือนกัน ที่อัพบีทความป็อปขึ้นมาอีกจังหวะ สร้างความประทับใจให้กับคนที่มาดูสุด ๆ
Rosalyn เดินขึ้นมาพร้อมบรรยากาศที่อบอวลด้วยแสงไฟสลัวและดนตรีอัลเทอร์เนทีฟอาร์แอนด์บีที่สวยงามอันตรายเหมือนดอกกุหลาบ สำหรับใครที่พึ่งเคยมาดูโชว์ของพวกเขาเป็นครั้งแรกก็คงยากที่จะปฏิเสธน้ำเสียงหวานหยดของนัทตี้ที่ชวนเคลิ้มชวนตกอยู่ในภวังค์ตั้งแต่เริ่ม จากเซ็ตเพลง ‘Desire’, ‘Yellow Line’ ไปสู่ ‘LoverFriend’ และ ‘Vanish’ ที่ดึงดูดเราผ่านความกลมกล่อมของริฟฟ์กีตาร์ เบสไลน์ ซินธ์และกรูฟกลอง
ต่อมาเป็น ‘She Was Hot’ ที่ได้ไลน์แซ็กโซโฟนของ ดอม มือเป่าจากวง LEPYUTIN มาเพิ่มดีกรีความเร้าร้อนประกบ Yachu นักเต้นสาวที่ปรากฎตัวในชุดสีแดงพริ้วกับการร่ายรำคลอเสียงดนตรีสุดเซ็กซี่ชนิดที่อ่อนระทวยกันทั้งฮอลล์ ซึ่งเพลง ‘Dejavu’ ก็เติมความสนุกสนานให้แฟนคลับอีกครั้งผ่านจังหวะอัพบีทคล้ายไลน์เต้นของเธอ ก่อนนักร้องนำจะเริ่มแนะนำตัวสมาชิกทีละคน พร้อมท่อนแจมระหว่างเครื่องและส่งช่วงดรอปปลายอย่างละมุนในช่วงใกล้เอาท์โทรเพื่อโบกมือบอกลาเพื่อนสองคน แล้วปิดท้ายด้วยเพลง ‘Solitude’ ที่แม้จะจบโชว์แล้ว พวกเขาก็ยังเป็นวงที่เรียกเสียงกรี๊ดได้ตลอดจนกว่าจะเดินหายจากสายตาไปจริง ๆ
ปิดเวลา COSMOS CON ในค่ำคืนนี้ด้วย FOLK9 ขนทั้งผลงานยุคแรกจนถึงยุคปัจจุบันมาเสิร์ฟแบบครบรสที่เคลือบผ่านสีสันฉูดฉาดกับการเปิดตัวที่ ‘Mr. Rainbow Sky’ แทร็กจากอัลบั้มใหม่ แล้วสลับไปเพลง ‘Plant’ ที่ชวนแฟน ๆ ปลูกต้นรักและจับกายโยกต่อใน ’The Waiter’ กับเสียงคีย์บอร์ด “ตือดือดึด…ตือดือดึด” สุดน่ารักที่ทุกคนคุ้นเคยดี ตามด้วยช่วงตบเข้าอินโทร ‘Morning Day’ นี่แอบทำเอาเราตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะบางเพลงในเซ็ตกว่าวงจะหยิบมาเล่นก็นานทีเดียว
ก่อนช่วงถัดมาจะกลายเป็นบรรดาเพลงที่คล้ายว่าจะได้เห็นมุมออดอ้อนปนอารมณ์หม่นเศร้าอย่าง ’Romantic Scene’, ’Mermaid’, ’Memory’ และ ’Slow Dance’ ในทำนองบัลลาดพาจับมือเต้น ซึ่งมีแก๊งเพื่อนหนุ่มสาวชาววัยรุ่นข้างหน้าเราคอยร้องตามแบบไม่พลาดสักคีย์เดียว ระหว่างที่สมาชิกวงหยอกล้อไปมาในช่วงพักเบรค พวกเขาก็ไม่พลาดที่จะพูดคุยกับคนดูอย่างน่ารักเป็นกันเอง
กลับมาต่อที่ ’Whispering’ ในเมโลดี้ยุกยิกแถมจักจี้เหมือนมีใครกระซิบข้างหูตามชื่อสุด ๆ ตามด้วยเพลง ’Choco Pie’ บนลูปดนตรีแนวไซเคเดลิกที่ชวนทุกคนหลุดไปอีกมิติ ขณะวงกำลังใส่ลูกล่อลูกชน หลากหลายอิลิเมนต์ค่อย ๆ ทยอยหลั่งไหลเข้ามา หากใครเริ่มทริปไปไกลก็ขอให้รีบกลับโดยด่วน เพราะสองเพลงถัดไปอย่าง ‘แว่นกันแดด’ ในซาวด์โอเรียนทอลอันเป็นเอกลักษณ์ของวงก่อนส่งเข้า ‘ฉันจะไปพายเรือ’ ปิดก็คือเอนจอยจริง เซ็ตนี้ดีมาก! (อยากพิมพ์กอไก่ล้านตัว) พอจบโชว์ยิ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งคนไทยและเอเชียถึงรักพวกเขา