น่าดีใจที่อีกสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างเขาใหญ่ก็มีเฟสติวัลอิเล็กทรอนิกเพิ่มอีกงาน (ต่อจาก Karma Kastle, Unaharn และ Mystic Valley) นั่นคือ Beatforest ที่จัดขึ้นที่รีสอร์ท Bonanza โดยเจ้าของสถานที่อย่างเมย์-ไพพรรณี เตชะณรงค์ หรือที่เพื่อน ๆ ในแวดวงอิเล็กทรอนิกแดนซ์มิวสิกรู้จักกันในชื่อ DJ Mae Tae มีไอเดียเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนของรีสอร์ทให้กลายมาเป็นพื้นที่เรฟย่อม ๆ โดยได้เพื่อนพี่น้องที่ปาร์ตี้ด้วยกันบ่อยๆ ช่วยกันจัดเป็นงานสนุก ๆ นี้ขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา
ทีมงาน The COSMOS เองก็ได้ไปสัมผัสกับงานในปีแรกเลยเอาบรรยากาศมาแบ่งปันกัน เผื่อปีหน้าใครวางแผนไปเที่ยวและอยากลองดนตรีแนวใหม่ ๆ จะได้มีงานนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก
งานนี้อันที่จริงแล้วมีกิจกรรมปลูกป่ากับขี่จักรยานในงานด้วย แต่เราไม่แน่ใจว่าเริ่มตั้งแต่กี่โมงเพราะหาประกาศไม่เจอเลยไม่ได้เข้าร่วม ส่วนงานดนตรีเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น. โดยมีดีเจเล่นที่ Beat Stage นั่นคือ Meltmode เวทีนี้ถือว่าเป็นเวทีที่เท่มากกับการที่เซ็ตอัพเป็น 4 เสา และติดไฟรวมถึงกระจกสะท้อนทั้ง 4 ด้าน แล้วยังทำให้มันหมุนได้ โดยมีระบบเสียงเป็นลำโพง 4 จุดรอบด้านเซอร์ราวด์กันไปเลย ศิลปินที่ขึ้นเล่นก็หันหน้าชนกันแบบในห้องซ้อม และให้คนดูยืนล้อมรอบ ทำให้เป็นบรรยากาศแบบใหม่ที่ไม่ค่อยได้เห็นที่ไหน (แต่คนที่เคยไปดูโชว์เปิดอัลบั้ม 2 ของ Summer Dress, Bud Livehouse ที่ Lido Connect หรือ Polygon Stage ที่ Wonderfruit น่าจะนึกออก)
จากนั้น 17.00 CRSRCRSR ที่วันนี้มาแบบไลฟ์เซ็ตก็ขึ้นแสดงที่เวทีเดียวกัน โดยเขาบอกกับเราว่าทีแรกไม่รู้ว่าเซ็ตอัพจะมาเป็นลำโพง 4 ตัว แต่พออุปกรณ์ของเขาเป็นอนาล็อกเขาเลยได้โอกาสเล่นกับระบบโดยให้แต่ละไลน์ของเสียงวิ่งออกทั้ง 4 จุดในช่วงเวลาต่างกัน เหมือนเป็นทั้งการทดลองและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เท่มาก
18.00 ก็เป็นคิวของ Wannarit Michael Yuki ที่มาเป็นไลฟ์อนาล็อก ใช้อุปกรณ์ผสมผสานทั้งโมดูลาร์ ซินธิไซเซอร์แบบคีย์บอร์ด และเครื่องเป่า ผสมผสานออกมาเป็นบีตและแอมเบียนต์เท่ ๆ ในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกพอดี เราเลยได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศซาวด์ในช่วงกึ่งกลางเซ็ตที่ทรานสฟอร์มจากเซ็ตสว่าง ๆ ผ่อนคลาย ๆ ในยามเย็น ไปสู่ความลึกลับและมินิมัลในตอนที่ฟ้ามืดไปแล้ว ไลท์ติ้งเองก็ปรับรูปแบบตามเสียงและแวดล้อมรอบข้างไปพร้อม ๆ กัน
19.00 เป็นตอนที่เริ่มมีดีเจเล่นพร้อมกันในอีกเวทีนึง คือเวทีใหญ่ Forest Stage ที่เป็นเวทีใหญ่และมีต้นไม้สูงใหญ่เป็นแบ็กกราวด์เป็นบรรยากาศป่าสมชื่อ ตอนนั้น Beam Wong กำลังเซ็ตเครื่องอยู่ที่ Beat Stage เราเลยแว้บไปดู Footprints on Mars ก่อน วันนี้เขามาในสไตล์เลาจน์ผ่อนคลาย ๆ ก่อนจะเริ่มขยับบีทเป็นเบรก UKG แบบที่เขาถนัด ซึ่งช่วงท้ายเซ็ตก็แอบหยิบเอาเพลง ‘Makeba’ ของ Jain ที่เป็นไวรัลร้องกันว่า ‘อู๊ย นักเก็ตปลา’ เนี่ยแหละ มามิกซ์กับบีตได้เท่มาก
กลับมาที่ Beam Wong ที่เริ่มเล่นประมาณ 20 นาทีให้หลัง เขามาพร้อมกีตาร์ โมดูลาร์ และคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ซึ่งเราไม่ค่อยได้เห็นเขาเล่นเซ็ตนี้เท่าไหร่เพราะช่วงหลังเขามักจะดีเจกับเพลงแนวโหดสุดคลั่ง (จริง ๆ ก็เล่น แต่มักจะเป็นในงานดนตรีทดลองหรือพวกดีไซน์อีเวนต์) หนนี้เราเลยได้ดูแอมเบียนต์แบบที่คุ้นเคยในผลงานออริจินัลเมื่อหลายปีก่อน บวกกับลูปกีตาร์และเสียงร้องประสานชวนสะกด แต่น่าเสียดายไปนิดเพราะดนตรีที่ต้องอาศัยความเงียบกลับถูกบีตและเบสจากอีกเวทีรบกวน ทำให้ต้องใช้สมาธิอย่างมากทั้งคนเล่นและคนดู แม้จะตั้งห่างกันมากแล้วแต่ด้วยสภาพความเป็นพื้นที่โล่งที่รอบข้างก็เงียบสงัด และมีเขา มีป่า ทำให้เกิดเสียงสะท้อนมาถึงกันได้ง่าย ปีหน้าอาจจะแก้ด้วยการเขยิบให้ไกลขึ้น มีซาวด์พรูฟ หรือทำให้เวลาเหลื่อม/ ไม่ชนกันระหว่างศิลปินแอมเบียนต์กับดีเจ หรืออาจจะทำเป็น เวที indoor เล็ก ๆ สำหรับเพลงทดลองไปเลย
20.00 เวทีใหญ่ตอนนี้เป็น Heatbreakkid ที่ขึ้นเล่นพร้อมกับ JPBS ซึ่งเราขอมาสแตนบายดูวงหลังแทนที่เวทีเล็ก วงนี้เขาสะกดเราได้อยู่หมัดตั้งแต่ต้นโชว์ กับการหยิบเอาเพลงจากอัลบั้ม ‘Waiting Room’ มานำเสนอในรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งการใส่อินเทอร์ลูดแนวเพลงที่ไม่คุ้นเคยนักอย่างซินธ์จัด ๆ สไตล์ Yellow Magic Orchestra ก็จับมาใส่ในช่วงเพลง ‘Waterfall’ หรือ ‘Chowsex’ ก็กวาดเอาแฟนเพลงใหม่ ๆ ไปได้เพียบ (เพราะได้ยินคนชมกันไม่หยุดปากจริง ๆ) การสลับกันระหว่างร็อก อิเล็กทรอนิก และทดลอง กลายมาเป็นเสน่ห์ของ JPBS ในช่วงหลังมานี้ บวกกับไลท์ติ้งก็ยิ่งช่วยเสริมให้การแสดงของพวกเขา แล้วเราสังเกตเห็นพระจันทร์ที่กำลังค่อย ๆ ขึ้นมาเป็นสีส้มดวงใหญ่ มาก และอยู่ในตำแหน่งที่เป็นฉากหลังตอนที่วงกำลังเล่นพอดี แล้วยิ่งการที่พวกเขาใส่เสื้อสีขาวคล้ายกันทั้งวง เล่นหันหน้าเข้าหากัน กับเพลงที่ไดนามิกเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เลยยิ่งทำให้ดูเหมือนเป็นการบูชายัญหรือทำพิธีอะไรสักอย่าง
ต่อกันด้วย Mae Happyair ที่เวลา 21.00 ณ Forest Stage งานนี้แม้เพลงจะไม่เดือดเท่าไหร่แต่ยังการันตีความทุบเหมือนเดิม เลี้ยง ๆ เต้น ๆ นวด ๆ กันไปแต่ย่านเบสสะท้านจนไม่สามารถยืนใกล้เวทีได้มากต้องถอยออกมาประมาณนึง ส่วนที่ Beat Stage ก็เป็นดูโอ้ Hysteria Temple Foundatio ที่ก็มากันเป็นไลฟ์เซ็ต กับบีตชวนสะกดสุดโหดด้วยเทคโน ดั๊บ ที่ผสานซาวด์เวิร์ลมิวสิก ชนเผ่า กับกลองที่เดินจังหวะไปเรื่อย ๆ ตลอดโชว์ กลายมาเป็นเพลงหนักหน่วงชวนโยกให้ปวดตัวปวดเขา สนุกกันยาว ๆ ตลอดทั้งเซ็ต
กลับมาที่ Forest Stage 22.00 บ้างเพื่อดู Marmosets วันนี้เซ็ตเขาเน้น drum driven กับความมินิมัล เลี้ยงอารมณ์กันมาสวย ๆ แต่ช่วงหลังก็ใส่เพลงโหดสับทุบเข้ามาเหมือนเดิม มีบางเพลงที่เราชอบจากที่เขาเล่นในงานปีใหม่ของ Tempo อยู่ในเซ็ตนี้ด้วย ก่อนจะเป็น Laksa ที่แอบรู้สึกว่าเพลงเขามีซินธ์ย่านแหลม อีกนิดนึงจะ EDM แล้วเราเลยขอเขยิบกลับมาที่ Beat Stage ซึ่งตอนนั้น Payu กับ Jakrin จาก Kangkao กำลังเล่นอยู่พอดี เลยได้พักหูกับอะไรที่กรูฟ ๆ มินิมัล ดีป เทคเฮาส์กันหน่อย ซึ่งก็มี Mo-Funk รับหน้าที่ต่อ
ไปลุยกันต่อที่ JASSS ในเวลาเที่ยงคืนครึ่งที่เวทีใหญ่ คนนี้เป็นอีกคนที่เรารอคอยจะดูในไลน์อัพ เพราะก่อนหน้าที่จะมาก็ได้ลองเปิดเซ็ตของเธอฟังไปด้วยทำงานไปด้วย ผลก็คือโดนเส้นตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพอได้มาฟังของจริงก็คือ แม่หวดเลี้ยงไม่ยั้ง แต่เรียงเพลงดีไซน์โชว์ได้น่าสนใจ และเลือกเมโลดี้สวย ๆ มาแทรกทำให้ความดุดันนั้นอภิรมย์ใจไปด้วย ยกให้ชอบที่สุดในงานนี้เลย
พอตีสอง ก็เป็นเวลาของ Stefan Goldmann ที่ช่วงนี้ส่วนตัวรู้สึกว่าเพลงก็ดรอปลงมานุ่ม ๆ เพลิน ๆ เราก็ถือโอกาสพักไปด้วย ก่อนที่จะเป็นช่วงตีสามครึ่งสำหรับ CEM ที่เป็นเหมือน closing ของค่ำคืนนี้ยาวไปถึงตีห้า เป็นงานทุบระเบิดลงแบบไม่มีความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนไลท์ติ้งช่วงนี้ก็คือเท่มากเพราะเขาใช้พื้นที่ด้านหลังที่เป็นต้นใหม่ใหญ่เป็นแบ็กกราวด์ และใช้แสงลวงตาทำให้รู้สึกว่าเป็นโครงสร้างเวทีใหญ่เหมือนเฟสติวัลงานยักษ์ ซึ่งไปอ่านเจอในกลุ่มทีมงาน Human Spectrum ว่าพวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์ ‘ป่าเป็นปอดของสิ่งมีชีวิต’ ก็เลยเนรมิตรปอดคู่ยักษ์ฉายทับไปบนต้นไม้ สะใจสมการรอคอยจริง ๆ แต่ช่วงนี้ก็เริ่มพลังหมดแล้วเหมือนกัน แอบเสียดายที่ไม่สามารถอยู่รอดู Mudlogger และ Sunju Hargun ที่จะเป็น sunrise set ตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้าไม่ไหว แต่เชื่อว่าต้องนำเสนอซาวด์ที่น่าสนใจและไวบ์ต้อนรับวันใหม่ได้สวยงามอย่างเช่นเคยแน่ ๆ
และนั่นคือสิ่งที่เราประสบมาทั้งหมดใน Beatforest เราไม่ได้กินอาหารที่งานแต่เห็นว่ามีตัวเลือกค่อนข้างหลากหลายและราคาเป็นมิตร ห้องน้ำก็ตามมาตรฐานเฟสติวัลและเพียงพอกับจำนวนผู้เข้าชม แอบน่าเสียดายที่การเดินทางอาจจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเพราะเราไม่ได้ขับรถกันมา ตอนแรกนึกว่าจะต้องเดินเข้าและออกงาน (ประมาณ 15-20 นาทีจากที่พัก) ขามาเลยต้องอาศัยโบกรถกอล์ฟของพนักงานโรงแรมเพื่อเข้างาน ส่วนขากลับประมาณตีสามโชคดีที่มีสต๊าฟ/ security ช่วยขับรถกอล์ฟไปส่งให้ (แต่หย่อนแค่ Bonanza แล้วเราต้องเดินต่ออีกนิดนึงเพื่อกลับโรงแรม)
เข้าใจว่าเป็นปีแรกที่งานจัดแต่ก็ถือว่าทำได้ดีและเอาใจช่วยสำหรับปีต่อ ๆ ไป ส่วนเราเองต้องยอมรับว่าแฮปปี้สุด ๆ กับการคัดเลือกศิลปินมาเล่นในงาน หวังว่าปีหน้าเราจะได้กลับมาและได้ดูไลน์อัพน่าสนใจและมีกิจกรรมหลากหลายแบบนี้อีก
ขอขอบคุณภาพจากงาน Beatforest
อ่านต่อ
อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ