Now Showing! หนังดนตรีและสารคดี 6 เรื่องใน Netflix ที่คอสมอสอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ทุกคนไปดูกัน ถ้าสุดสัปดาห์นี้ยังไม่มีแพลนไปไหนหรือทำอะไร เตรียมเครื่องดื่มและขนมทานเล่นไว้ให้พร้อม เปิดจอโดยไม่ต้องคิดว่าจะดูเรื่องอะไรดีนะ? เพราะพวกเราเลือกมาให้แล้ว
โดยลิสต์นี้ก็มีทั้ง ชีวประวัติเกี่ยวกับศิลปินโฟล์คที่ถ่ายทอดผ่านสายตาของผู้กำกับมือทอง มาร์ติน สกอร์เซซี, การศึกษาประวัติศาสตร์และการมีอยู่ดนตรีคลาสสิคของอินเดีย, นับถอยหลังสู่ความฝันในห้วงเวลาสุดท้ายของอดีตโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง และคนเขียนบทละครที่นำแสดงโดย แอนดรูว การ์ฟิลด์, วาทยกรหญิงกับการเปิดโปงฉากหลังอันเข้มข้นระหว่างเพศและอำนาจภายใน, ดนตรีแจ๊สกับความยิ่งใหญ่แห่งการลงมือทำ ซึ่งจุดประกายไฟให้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเรา ๆ มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง และสารคดีเบื้องลึก ‘We Are The World’ ซิงเกิ้ลการกุศลที่สร้างแรงกระเพื่อมต่อสายตาชาวโลกแบบจริงใจ
Rolling Thunder Revue: A Bob Dylan Story by Martin Scorsese (2019)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์สารคดีประเภทชีวประวัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของศิลปิน และผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ บางครั้งมักจะมีการบิดเบือน การสร้างสมมติฐานเพื่อให้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ไม่ก็ถูกปฏิเสธการให้ข้อมูลจริงจากญาติเจ้าของเรื่องราวเนื่องด้วยความเป็นส่วนตัว แต่สำหรับเรื่องนี้ ยอดกวีแห่งดนตรีโฟล์คอย่าง “บ๊อบ ดีแลน” (Bob Dylan) ยืนยันเองว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นความจริง
โดยเล่าเรื่องผ่านฟุตเทจหลักในช่วงที่เขากำลังออกทัวร์ Rolling Thunder Revue เมื่อปี 1975-1976 เสริมการใช้นักแสดงบางส่วนเพื่อให้เราเห็นภาพ ณ ช่วงเวลานั้นได้ชัดเจนขึ้น หากใครที่เป็นแฟนคลับของลุงมาร์ติน สกอร์เซซี อาจพอทราบว่าสไตล์การกำกับ ตัดต่อ และลำดับภาพคือ มันส์ กระชับฉับไว นี่จึงเป็นอีกเรื่องที่เราพูดได้ว่าการชมหนังมอนทาจจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
The Disciple (2020)
หนังเรื่องนี้ค่อนข้างเปิดประสบการณ์ในแง่การรับรู้ของเราที่มีต่อภาพยนตร์อินเดียเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่เราจะติดภาพจำของคำว่า “Bollywood” ที่พล็อตจะเป็นแนวโรแมนซ์ คอมเมดี้ ไม่ก็มิวสิคคัลเน้นร้องเต้นไปเลย ความน่าสนใจของมันคือการที่ไชตัญญะ ทัมฮาเน (Chaitanya Tamhane) เขาจับบรรยากาศอันน่าฉงน ผสมผสานความดราม่าที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบ ทว่าเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ
ซึ่งชวนให้เราตั้งคำถามต่อการมีอยู่ของชีวิตและความฝันส่วนตัว ผ่านตัวละครที่เขาไม่อาจบรรลุเป้าหมายของการเป็นนักร้องในวงการดนตรีคลาสสิคของอินเดียได้ นอกจากเราจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมดนตรีและสังคมภายในแล้ว การมาของเรื่องนี้ก็ถือเป็นใบเบิกทางให้หนังเอเชียก้าวเดินไปสู่เวนิสได้
Tick, Tick…Boom! (2021)
เรื่องราวของ โจนาธาน ลาร์สัน (Jonathan Larson) โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง และคนเขียนบทชาวอเมริกัน นำแสดงโดย แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield) ที่ดัดแปลงมาจากละครเวทีและการแสดงของลาร์สันเอง มันไม่เพียงแต่เผยท่าทีความมุ่งมั่นของเขาต่อตัวโน๊ตและเสียงเพลง มันคือการนับถอยหลังติ๊ก ๆ ในหัวที่เหมือน “ระเบิดเวลา” ระหว่างการดับสูญและเกิดขึ้น
โดยพูดถึงเวลาและเส้นตายชีวิตสมชื่อเรื่อง ที่หากมนุษย์วัยเลขสามอย่างเขาไม่ประสบความสำเร็จ สังคมจะมองเขายังไง หรือเขาจะหลงเหลืออะไรไว้ให้ตัวเองภูมิใจ หรือกระทั่งให้โลกจดจำ แต่รู้หรือไม่ว่าชีวิตเรานั้นสั้นเหลือเกิน สิ่งที่เราพอทำได้คือการมีชีวิตอยู่ (อย่างน้อยก็เพื่อตัวเอง) แม้มันจะกำลังเฆี่ยนตีก็ตาม
TÁR (2022)
นอกเหนือฝีมือการแสดงของแม่ เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) ในบทบาทวาทยกรหญิงสุดเข้มข้นแล้ว พัฒนาการของ ทอดด์ ฟีลด์ (Todd Field) ในเส้นทางสายภาพยนตร์ยังเป็นสิ่งที่เราต้องขอยอมรับว่าเหลือร้าย ตั้งแต่การตีแผ่สังคม แวดวงดนตรี การเมืองภายใน รวมถึงเรื่องเพศ และอีกหลากประเด็นสุดละเอียดอ่อน ที่เขานำเสนอได้ไม่ตื้นเขิน
แต่ข้อเสียของหนังก็มีความเฉพาะตัวจนอาจจะรู้สึกดูยากหรือต้องใช้เวลากับมันพอสมควร ยกเว้นสิ่งที่น่าทึ่งและปฏิเสธไม่ได้ว่ามันชวนขบคิด หรือสานบทสนทนาต่อหลังจากเรื่องนี้จบ คือการที่มันดำเนินไปพร้อมกับยุคสมัยที่เราเริ่มมี awareness ต่อวัฒนธรรมคว่ำบาตร (Cancel Culture) เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
Blue Giant (2023)
เราต่างเคยเป็น “มือสมัครเล่น” อย่างที่ ‘ได มิยาโมโตะ’ นักเรียนหนุ่มผู้ใฝ่ฝันจะเป็นมือเป่าอันดับหนึ่งของโลกให้ได้ และจริงอยู่ที่ใครบางคนอาจมีพรสวรรค์มาตั้งแต่กำเนิด ทว่า มันจะขาดพรแสวงหรือการฝึกฝนไปไม่ได้ บลูไจแอนท์ ถือเป็นหนังวัยรุ่นไฟแรงที่ลำนำด้วยดนตรีแจ๊ส เรื่องราวของมิตรภาพ แล้วปิดฉากด้วยความจริงของชีวิตอันแสนท้อแท้ใจ
แต่มันก็อบอุ่นและเปี่ยมหวังในปริมาณที่มากพอจะทำให้เราโยนทิ้งความกลัว เพื่อเริ่มต้นลงมือทำอะไรสักอย่าง แม้บางช่วงจะขาดเอเลเมนต์ หรือความลื่นไหลที่น่าจะเสริมให้หนังคมคายกว่านี้ แต่ด้วยพลังของเสียงเพลงที่คอยเรียกสติ และเล่นคลอไปอย่างเอิบอิ่มตลอดทั้งเรื่อง เท่านี้ก็คุ้มค่าและเพียงพอแล้ว
The Greatest Night in Pop (2024)
จุดกำเนิดและเบื้องหลังที่ไม่เคยบอกเล่าที่ไหนมาก่อนของซิงเกิ้ล ‘We Are The World’ บทเพลงเฉพาะกิจที่ถูกแต่งและขับร้องโดย ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ร่วมกับ ไลโอเนล ริชชี (Lionel Richie) พร้อมศิลปิน 21 คนกับคอรัสอีก 23 ชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้จะประกอบไปด้วยบทสัมภาษณ์ ฟุตเทจต่าง ๆ ของผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโปรเจกต์
ณ ตอนนั้น พวกเขาต้องการนำเสนอปัญหาโรคระบาดและความแร้นแค้นของเอธิโอเปียให้โลกรู้ เช่นเดียวกับคอนเสิร์ตการกุศล Live Aid โดยทั้งสองโปรเจกต์นี้ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อสายตาสากลโลกได้แบบจริงใจ ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีคอนเสิร์ตและมูลนิธิการกุศลเกิดขึ้นอีกมากมายนับไม่ถ้วน
Bonus: Carole & Tuesday (2019)
แถมอีกสักเรื่องบน Netflix ตอนนี้ สำหรับแอนิเมชั่นซีรีส์ที่แม้จะเซ็ตติ้งด้วยความไซไฟแบบโลกอนาคตจากสไตล์การกำกับของ ‘ชินอิจิโร วาตานาเบะ’ (Shinichiro Watanabe) แต่มันก็อิงความเป็นมนุษย์และคงอยู่กับปัจจุบันสุด ๆ แล้วความพิเศษที่ทำให้เราสนใจเขาคือ ความหลากหลายทางเสียงเพลงที่วาตานาเบะซังเลือกมาประกอบบนพล็อตได้อย่างมากเสน่ห์
เนื้อหาว่าด้วยตัวละคร แครอล และ ทิวส์เดย์ สองสาวที่ใช้ดนตรีเยียวยาเติมเต็มหัวใจตัวเอง ทั้งคู่เข้ากันได้อย่างน่าประหลาด ก่อนจะตั้งวงดนตรีร่วมกัน เพื่อเปิดเผยความรู้สึกภายใน และสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ใช่แค่กับคนที่เดินผ่านไปผ่านไปบนท้องถนนในเรื่อง แต่มันยังส่งมาถึงพวกเราทุกคนที่อาจกำลังตามหาอะไรสักอย่างอยู่ก็ได้
อ่านต่อ: Soundtrack to a Coup d’Etat: ฉากเปิดโปงสงครามเย็นที่ร้อนเร่าด้วยดนตรีแจ๊ส
แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist