Lost In Noir คือสตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุดของวงดนตรีสไตล์แอนไทป๊อป Chucky Factory Land สังกัด Crazy Mondae ที่พวกเขานิยามว่าอัลบั้มนี้คือหนังภาคต่อจาก EP What Happen Is Odd หลังชายหนุ่มทั้งสี่ได้เผชิญโลกและสถานการณ์ที่ส่งผลให้มุมมองความคิดกลับตาลปัตร แล้วสะท้อนมันออกมาผ่านบรรยากาศอันแสนสับสนคล้ายหลุดไปอยู่ใน “ฟิล์มนัวร์”
ไม่ว่าแนวทางการใช้ชีวิตพวกเขาจะกร้านโลกขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในผลงานชุดนี้คือองค์ประกอบและภาคดนตรีที่เติบโตขึ้น ทั้งส่วนผสมระหว่างอัลเทอร์เนทีฟ นีโอโซล ฮิปฮอป และอาร์แอนด์บี ที่จับคู่กับเนื้อหาการเล่าเรื่องในสไตล์ของวงได้อย่างเป็นกลุ่มก้อน ไม่ถึงกับเป็นปรัชญาเข้าใจยาก ทว่าแฝงคารมคมคายอย่างที่พวกเขาได้ให้สัมภาษณ์กับทีมงานคอสมอสเมื่อเดือนก่อน (อ่านบทสัมภาษณ์ได้ที่นี่)
และการเดินทางทั้งหมด 16 บทเพลงจากจุดเริ่มต้นจนแทร็กสุดท้าย ยังเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อนที่ทำเอาเราเซอร์ไพร์สเป็นระยะ ตั้งแต่ Prep Walk ที่ได้สาว ฟ่ง—ฑิตยา พิภพพรชัย (VINI) และ มายด์—สรัญธร ทวีรัตน์ (Supergoods) ร้องคอรัส เสียงปรบมือคลอท่วงทำนองผ่อนคลายที่จับมือพาไปเจอพาร์ทจังหวะฟังก์กี้สนุกสนาน ตามด้วย This Is DRUG ที่มาพร้อมบีตเด้ง ๆ โดยเปรียบความต้องการและสิ่งเร้าภายนอกเสมือน “ยาเสพติด” ที่ผลข้างเคียงของมันช่วยให้มนุษย์พึงพอใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น
ก่อนเพลง Vivid Call จะปลอบโยนด้วยจังหวะดาวน์เทมโปและซาวด์เอฟเฟกต์ผ่อนหู บ้างก็ปลุกอย่างเบา ๆ คล้ายกำลังบอกเราว่าสิ่งเดียวที่ทำได้คือการยิ้มสู้และเงยหน้ารับความจริง หรือ OLDE ก็ได้ส่งอารมณ์ดราม่าผสมความกำกวมที่ชวนย้อนกลับไปถึงคืนวันเก่า ๆ ซึ่งเขาคงไม่กลับไปเป็นคนเดิมอีกแล้ว ต่อด้วย BLINKZ กับบีตอิเล็กทรอนิกส์หนึบ ๆ คลอเสียงร้อง “วู้ว..อูวู้ว..อูวู้ว” แล้วตัดเข้า Lost In Noir ที่เตรียมยกระดับความรู้สึกในการฟังสู่ตอนถัดไปผ่าน Smashing Ms.Tangerine และ The Good Going Down Under อย่างสุขุม
ถัดมา GUTZ และ Hood Gallery เพลงแห่งการเชียร์อัพแด่ชาวแก๊งที่ขอให้เชื่อมั่นในสัญชาตญาณ และเส้นทางของตัวเองแบบไม่สนว่าใครจะพูดบั่นทอนอะไร หรือสุดท้ายปลายทางจะไปโผล่ที่ไหนก็ขอให้เดินต่อไป ก่อนเพลงคั่นอย่าง INTERMISSION และ J.O.Y จะเล่นล้อด้วยเสียงแบ็กกิ้งแทร็ค ประกอบริทึ่มกลองพร้อมซาวด์แปลกประหลาดที่ส่งให้ Urgent Order โดดเด่นออกมา จำได้เลยว่าตอนฟังบวกการได้ดูสดครั้งแรกคือเท่มาก ๆ อย่างท่อน “End up with crash” ที่พวกเขาตะโกนสุดเสียงราวกับว่าทุกอย่างกำลังจะพังทลายลง
ยิ่งการอะเรนจ์ทรานสิชันไปยังแทร็ค punkrockdryskin* ยิ่งทำให้เพลงนี้กลายเป็นแทร็คที่เราชื่นชอบไปโดยปริยาย แม้เอเลเมนต์ส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีความมินิมอล ซึ่งชูกิมมิคผ่านซาวด์สังเคราะห์แล้วตามด้วยเมโลดี้จากการอัดเครื่องดนตรีสด แต่ช่วงครึ่งหลังของอัลบั้มก็พิสูจน์แล้วว่าจิตวิญญาณร็อกแอนด์โรล หรือความเกเรในตัวพวกเขายังไม่หายไปไหน ทั้งเสียงเบส กีตาร์ กลองที่สะพัดอย่างทรงพลัง ก่อนสองเพลงปิดอย่าง Jimmy Smiley และ Running On Empty จะฉุดให้เรากลับมานั่งลงเพื่อจดจ่อและทบทวนความคิดอีกครั้ง
แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist