ผ่านไปหนึ่งปีพอดีสำหรับ LEPYUTIN วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากค่าย Jafar Records กับผลงาน EP ‘Ain’t No Coincidence’ ที่เราเคยเขียนรีวิวไว้เมื่อปีที่แล้ว รอบนี้วงกลับมาพร้อมอัลบั้มเต็มชุดแรกอย่าง Deviation From The Norm ที่ใส่กิมมิคลูกเล่นเข้ามาอย่างหลากหลายและจัดเต็มกว่าแต่ก่อน
โดยชื่ออัลบั้ม Deviation From The Norm อาจหมายถึง “อะไรที่แตกต่างไปจากมาตรฐานเดิม” ไม่ว่าในแง่กฏเกณฑ์ทางสังคมที่ส่งผลต่อชีวิตจริงของพวกเขา หรือการทลายขีดจำกัดทางสไตล์ดนตรีก็ตาม ดั่งภาพปกที่ต้องการสื่อถึงห้วงอารมณ์ภายในที่เปลี่ยนไปทุกวินาทีต่อการกดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง เช่นเดียวกับไดนามิกดนตรีหรือความรู้สึกในแต่ละบทเพลงที่แปรผันไปอย่างคาดเดาไม่ได้ แม้ต้องสลัดทิ้งความป๊อปที่เคยใส่ในท่วงทำนองหวาน ๆ หรือเนื้อหาโรแมนติกไปบ้าง แต่โครงสร้างเดิมก็ยังคงความเป็นเลอพิวตินที่เข้มข้นอยู่
ตั้งแต่ Down the Drain ที่เปิดด้วยเบสไลน์กับเอฟเฟกต์ Fuzz ผสมซาวด์กีตาร์แนวคลาสสิค-บลูส์ร็อก และแบ็คกิ้งแทร็กที่เหมือนเสียงประกาศเชื้อเชิญให้ผู้ฟังตื่นเต้นเล่น ก่อนเพลง Lost in Translation จะส่งให้เราทะยานไปตามเส้นทางบนซาวด์แตกพร่าประกอบแซ็กและท่อนฮุคที่ร้องว่า ”I’m sinking down…I’m sinking now” แล้วดรอปลงผ่านริฟฟ์กีตาร์กลิ่นอายไซคีเดลิกและเพอร์คัสชันลูกหมอลำในท่อนบริดจ์ ยิ่งตอนจังหวะเหลื่อมกันไปจนถึงช่วงเฟดออกยิ่งทำให้แทร็กนี้หวือหวาเสมือนได้นั่งรถไฟเหาะจริง
ถัดมาเป็น Habitual Ceremony ที่เว้นช่วงผู้ฟังได้พักเบรคสักนิด ด้วยบรรยากาศเพลงราวพิธีกรรมที่ชวนผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาด จากกรูฟเบสกลอง เครื่องเป่าลากยาวที่สลับการโซโล่เบา ๆ บวกความวูบวาบของกีตาร์ที่ใช้เทคนิคการสตรัมแบบ muting ตอนจบก็ได้แทรกคอรัสของนักร้องสาวเข้ามาเพื่อส่งให้เราเตรียมตัวสู่ Bora Bora บทเพลงทำนองนุ่มนวลสไตล์บอสซ่าโนวาที่เขียนขึ้นจากกีตาร์โปร่ง แล้วตามด้วยเครื่องดนตรีชิ้นอื่นที่ช่วยเสริมความน่าหลงใหล หากเพลงก่อนคือแดดยามเช้า เพลงนี้ก็คือพระอาทิตย์ตกดิน
ต่อที่แทร็กคั่นกลางอย่าง Thicker Than… ที่ปลุกให้เราตื่นท่ามกลางเสียงแซ็กอันกระเส่า และการเค้นดนตรีโพรเกรสซิฟร็อกพร้อมจังหวะเร่งที่ปฏิเสธได้ยาก แล้วพวกเขาก็ส่งไม้ต่อให้เพลง Hot Box ที่ทวีคูณความเร่าร้อนด้วยอินโทรซึ่งหลอกให้เราตายใจได้เพียงชั่วครู่ เสร็จสรรพก็พุ่งขึ้นไปถึงขีดสุดแบบไม่แยแส ก่อนกระชากเทมโปลงมาที่ท่อนเซิ้งสนุกสนาน แล้วดึงกลับอย่างไม่ทันตั้งตัว ส่วนตัวเราคิดว่าเพลงนี้น่าจะครบรสที่สุดในอัลบั้มแล้ว โดยเฉพาะเวอร์ชั่นไลฟ์ที่หากใครได้มีโอกาสดูสดก็ไม่อยากให้พลาดแม้แต่นาทีเดียว
หลังเผชิญพายุดนตรีอันโหมกระหน่ำมาแบบไม่หยุดหย่อน วงยังมีเพลงที่เหมือนเป็นจุดพักระหว่างทางอย่าง Summertime ที่หันมาชูเมโลดี้ผ่านกีตาร์ เสียงร้องประสาน และดนตรีในบรรยากาศทรอปิคอลหน้าร้อน แล้วตามด้วย The Second Son ร็อกจังหวะหย่อง ๆ ที่คอยดึงดูดเข้าสู่มิติคู่ขนาน ผสมโรงกับเบสนำร่องและแซ็กโซโฟนที่ขยี้อย่างดุเดือด ก่อนจะปิดอัลบั้มที่ Carmine และ Be Conscious สองแทร็กสุดท้ายที่มู้ดแอนด์โทนค่อนข้างฉีกจากงานเก่าเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราเห็นวิธีการสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของพวกเขาได้ดี
นอกเหนือการยกระดับดนตรีให้ lively หรือเปี่ยมชีวิตชีวาซึ่งเป็นข้อดีในการเล่นสดแล้ว เราจะสังเกตได้ว่าวงมีพัฒนาในด้านการเรียบเรียงที่กล้าจะทดลอง เพราะในหลาย ๆ เพลงเองก็มีการแบ่งสัดส่วนหรือปล่อยให้แต่ละเครื่องได้เฉิดฉายแบบไม่รู้สึกว่าหนักไปทางชิ้นใดชิ้นหนึ่งนัก ตอนนี้ LEPYUTIN กำลังทัวร์ในไต้หวันอยู่ เราหวังว่าดนตรีของพวกเขาจะกลายเป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศมากขึ้น สำหรับใครที่ยังไม่ได้ลองฟังอัลบั้มนี้ ทีมคอสมอสก็ขอเชียร์ให้ไปฟังโดยด่วน รับรองทุกคนจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครแน่นอน
แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist