คุยถึงระยะการเดินทางของ Bangkok Music City กับผู้จัดงานที่อยากให้กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองดนตรีระดับสากล

by Nattha.C
280 views
Bangkok Music City

Bangkok Music City เทศกาลดนตรีเจ้าแรกในไทยที่ควบรวมระหว่าง Music Showcase กับ Music Conference ไว้ด้วยกัน งานนี้ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2019 ก่อนจะเดินทางมาถึงขวบปีที่สี่ในปีนี้ เพื่อเสิร์ฟความสนุกสนาน พร้อมเปลี่ยนบรรยากาศย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อยให้กลับมาคึกคักท่ามกลางเสียงเพลงและผู้คนที่มีใจรักในดนตรีอีกครั้งหนึ่ง

เดอะคอสมอสได้มีโอกาสพูดคุยกับทางผู้จัดงานทั้ง 3 คน ได้แก่ คุณพาย–ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ฟังใจ จำกัด แพลตฟอร์มสตรีมมิงที่ทำหน้าที่เป็นสื่อดนตรีในตัว เขาควบตำแหน่ง Director of Educational, Government and Overseas Partnership, คุณต้อม–พงศ์สิริ เหตระกูล ไดเร็กเตอร์ของนิตยสาร NYLON Thailand โดยปีนี้ยังเป็นปีแรกแห่งการลงสนามในนามพาร์ตเนอร์ ของ คุณไข่–รักษิต รักการดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Live Nation TERO Entertainment ที่มาร่วมผลักดันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้งานนี้

หากพูดถึง “เทศกาลดนตรีในเมือง” (City Music Festival) โดยเฉพาะในประเทศไทย ยังนับว่ามีจำนวนที่น้อยมาก หากเทียบกับต่างประเทศและปริมาณของเอ็กซ์โปหรืองานจัดแสดงต่าง ๆ ที่ไม่รวมอยู่ในอุตสาหกรรมดนตรี Bangkok Music City จึงเป็นเทศกาลแรกที่บุกเบิกและหยิบโมเดลของ Music Conference กับ Music Showcase มานำเสนอให้แก่บุคคลทั่วไปหรือคนที่สนใจในดนตรี 

“เมื่อความหลากหลายทางดนตรี และพื้นที่ที่เปิดรับโอกาสมีจำนวนมากขึ้น ศิลปินก็สามารถเลือกได้ว่า งานมิวสิคโชว์เคสและเฟสติวัลไหนที่เหมาะกับเขา ควรหรือไม่ควรไปโชว์เคสไหน เพราะในแต่ละงานจะมี Delegates ที่อาจกำลังมองหาเราอยู่ หรืออาจจะไม่มีคนที่เราและเขามองหาเลย ซึ่งอาจจะอยู่อีกงานนึงก็ได้ครับ” ต้อมกล่าว 

ทางวงดนตรีและศิลปินอินดี้ไทยในบ้านเราตอนนี้ หลายคนก็เริ่มรู้จักมิวสิคโชว์เคสแล้ว ซึ่งพวกเขาก็เริ่มมองหางานเล่นในต่างประเทศไปด้วย ดังนั้น เราคิดว่าทิศทางของมิวสิคโชว์เคส รวมถึงอุตสาหกรรมดนตรีในไทยก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี และกำลังจะมีทางเลือกเยอะขึ้นเช่นกัน

“แต่สำหรับมุมมองของผู้ชมทั่วไป (Public Audiences) เขาอาจไม่ได้ซีเรียสว่า งานนี้มีจุดยืนและเนื้อหาที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรีแบบลึกซึ้งอย่างไรบ้าง ต้องเข้าใจในสิ่งที่เราพูดถึงในช่วงเสวนาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า บางคนที่มาร่วมงาน อาจเป็นเพราะงานมันสนุกและมีไวปส์ที่ดี ผมว่าคนดูส่วนใหญ่คิดถึงบรรยากาศแบบนั้นกันครับ” 

สิ่งที่พวกเขายังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ให้มั่นไม่ใช่แค่ความสนุกสนานและบรรยากาศในงาน ทว่า จุดมุ่งหมายหลักที่แท้จริงคือ ความหวังต่อการพาศิลปินไทยไปสู่ตลาดโลก รวมถึงการผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นหนึ่งในเมืองแห่งดนตรีที่ถูกยอมรับในระดับสากล

Bangkok Music City 2025

รูปแบบงานในลักษณะ Music Showcase จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับวัฒนธรรมของอุตสาหกรรมดนตรีในบ้านเรา พวกเขาพยายามพัฒนามาจากโมเดลของฝั่งตะวันตก ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชียในช่วงหลายปีหลัง อย่างการเชิญนักธุรกิจจากต่างประเทศกับการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจดนตรีไทยในลักษณะต่าง ๆ มาชมงาน เปิดเวทีให้ศิลปินมาโชว์ศักยภาพผ่านการแสดงสด จัดงานสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างคนในอุตสาหกรรมดนตรีกับบุคคลทั่วไป 

“สำหรับผมมองว่าวิธีการแบบนี้จะสามารถช่วยยกระดับ Career ของศิลปินไทย และส่งออกพวกเขาไปยังต่างประเทศได้ โดยศิลปินเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปินที่ดังอยู่แล้ว หรือว่าต้องร้องเพลงภาษาอังกฤษเท่านั้น” พายบอก

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รวมถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตที่ช่วยทำให้กำแพงทางภาษาลดลง มีวงดนตรีหลายชื่อที่ยังใช้ภาษาของตัวเองในการทำเพลง แล้วยังได้ไปเล่นเมืองนอก ซึ่งไลน์อัปในงาน Bangkok Music City ปีนี้ก็ล้วนเป็นศิลปินไทยคุณภาพคับแก้ว

“หรืออย่างวัฒนธรรมร่วม เพลงลูกทุ่งของเราก็มีความคล้ายคลึงกับเพลงดังดุต (Dangdut) ของประเทศอินโดนีเซีย ทั้งจังหวะดนตรีโยก ๆ ท่าเต้นของนักร้องที่เน้นการเคลื่อนไหว ประกอบเนื้อหาที่สะท้อนวิถีชีวิต ปัญหาสังคมบ้านเมือง ซึ่งนิยมในเขตชนบทและหมู่คนชนชั้นล่าง แม้แต่วัฒนธรรมไทยด้านอื่น ๆ ก็มีอิทธิพลต่อประเทศเพื่อนบ้าน มันเลยยิ่งทำให้เราสื่อถึงกันได้มากขึ้น”

ช่องว่างของซีนไทยและความวาไรตี้ที่(อาจ)เป็นจุดขายสำคัญในอนาคต

“ผมปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มศิลปินไทยที่ทำเพลงสากล และศิลปะการแสดง ภาพยนตร์ รวมถึงทีวีซีรีส์ โดยเฉพาะประเภท BL (Boylove) สองกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จและเป็นจุดโฟกัสหลักของเรา พวกเขามีฐานแฟนอยู่ที่แม็กซิโก ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งเป็นกลุ่มแฟนคลับเบอร์ต้น” ไข่กำลังอธิบายถึงซีรีส์วายและนักแสดงที่รับบท ก่อนพวกเขาจะโด่งดังและได้ไปทำโชว์เซอร์วิสแฟน

โดยพายเสริมว่า ทำไมซีรีส์วายช่วยนำพาเพลงไปได้จากการที่ซีรีส์หรือภาพยนตร์เหล่านี้ ต้องมีเพลงประกอบ ไปพร้อมกับการมาร์เกตติ้งในประเทศที่เปิดรับกลุ่ม LGBTQ อย่าง ไบร์ท-วิน ในซีรีส์ 2gether และ คินน์-พอร์ช ในซีรีส์ KinnPorsche: The Series La Forte ที่ฝ่าย PR ต่างประเทศเคยพาวง Scrubb กับ Slot Machine ไปเล่นเปิดอีกที ซึ่งนับเป็นการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ

หรือไม่แน่ว่า “หมอลำ” ก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งหัวหอกให้ซีนเพลงไทยได้เช่นกัน อย่างที่ต้อมพูดถึง ลำไย ไหทองคำ ศิลปินสาวพลังเหลือที่บุ๊คกิ้งโชว์เยอะจนแทบไม่มีวันพัก และเพอร์ฟอร์แมนซ์สุดโดนเส้นของเธอก็สามารถไปโตที่เมืองนอกตามประเทศแถบอเมริกาใต้ได้ด้วย

แต่ในขณะเดียวกัน หากลองย้อนกลับมามองกระแสของฝั่ง TPOP มันก็ยังไม่สามารถนิยามหรือจำกัดความได้แบบแน่ชัดว่า ศิลปินคนไหน แนวเพลงประเภทอะไรที่จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ได้บ้าง และการจะเดินทางไปถึงจุดเดียวกับ KPOP คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ในการเข้าสู่ Global Scene ที่มีการแข่งขันสูงลิ่ว หากสิ่งที่สำคัญกับศิลปินยิ่งไปกว่านั้นคือ “การหาตลาดของตัวเองให้เจอ” 

“เพลงไทยตีตลาดโลกแบบไหนได้บ้าง สำหรับผมมันคือทุกแนวเลยครับ แค่เราต้องหาตลาด และฐานแฟนของตัวเองให้เจอ ปัจจุบันมีเครื่องมือที่เรียกว่า ChartMetric และ Viberate เว็บไซต์ที่ช่วยวิเคราะห์กับประมวลสถิติว่า ผลงานของเราถูกใครในโลกเปิดฟังบ้าง แฟนเพลงของเราอยู่ที่ไหน คอมเมนต์ หรือรีแอคชั่นต่าง ๆ เกิดขึ้นจากอะไร ก่อนทำการตลาดไปที่นั่น” พายย้ำ

สตรีมมิงแพลตฟอร์มหลาย ๆ เจ้าเองก็พัฒนาฟีเจอร์ที่ทำให้ศิลปินเช็คได้แล้วว่ายอดผู้ฟังจาก 3 ถึง 5 อันดับมาจากประเทศอะไรบ้าง เทคโนโลยีตรงนี้ก็ช่วยทำให้ทุกฝั่งเปิดโลกมากยิ่งขึ้นด้วย 

“อธิบายง่าย ๆ มันคือการแมทช์ Demand และ Supply ทั้งในฝั่ง Mass และ Niche Market ที่ตัวศิลปินเองไม่จำเป็นต้องเล่นเครื่องดนตรีท้องถิ่นก็ได้ แต่มันอาจจะง่ายกว่า ถ้าเรามีผลงานเพลงหรือเอกลักษณ์อะไรบางอย่างที่ต่างประเทศไม่มีและเขากำลังอยากได้ครับ” 

แล้วทำไม KPOP ถึงตีตลาดโลกได้? พวกเขาบอกว่าปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ เศรษฐกิจ (Economy) ภายในประเทศ ประเทศเกาหลีใต้ลงทุนมหาศาลไปกับซีนดนตรีเคป๊อป ทั้งในแง่ของเม็ดเงิน และการกระจายศิลปะวัฒนธรรมต่าง ๆ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” มีผลการศึกษาว่า เคป๊อปสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ตั้งแต่ การถือลิขสิทธิ์, การส่งออกอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ทีวีซีรีส์, เกมส์, รถยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, โทรศัพท์มือถือ ที่ทำให้ทั้งคนในและนอกอยากจับจ่าย

“อยู่ที่คนไทยจะสามารถเรียกเม็ดเงินกลับมาที่ประเทศตัวเองได้จากสิ่งเหล่านั้นอย่างไร นอกจากอาหารและการท่องเที่ยวในประเทศแล้ว อุตสาหกรรมดนตรีจะมีอะไรไปนำเสนอบ้าง ก็คงต้องหาลู่ทางกันต่อไปครับ” ไข่ฝากคำถามปลายเปิด พร้อมหยิบยกดนตรีเจป๊อป มังงะ และอนิเมะ ที่สามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลคืนมาให้กับประเทศญี่ปุ่นเหมือนกัน

ทั้งหมดนี้มันยังรวมอยู่ในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ โดยพายย้อนกลับไปเล่าว่า เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน สื่อยังจำกัดอยู่แค่ทีวีไม่กี่ช่อง แต่ในยุคปัจจุบัน เรามีทั้งสื่อโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ประกอบไปกับการยิง ADs รวมถึงเทรนด์การใช้งาน TikTok, Instagram ที่เข้ามามีบทบาทในส่วนของมาร์เกตติ้ง และช่องทางการรับรู้ข่าวสารใหม่ ๆ 

“ผมอยากให้มันเกิด Synchronize หรือการร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมดนตรี หนัง แฟชั่น และอื่น ๆ อย่างน้อย หากเราเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เราทุกคนก็จะไปได้ไกลขึ้นครับ” พายบอก

ก่อนจะจากกันไปในบทความนี้ เราขอกลับมาที่ไฮไลต์สนุก ๆ ของงาน Bangkok Music City ว่านอกจากโชว์ของศิลปินที่คุณจะรัก ช่วงสัมนนาที่ฟังแล้วได้ความรู้แน่นอน รวมถึงกิจกรรม และบรรยากาศที่จะถูกเมมเก็บไว้ในความทรงจำของทุกคนแล้ว ผู้จัดทั้ง 3 คนมีอะไรอยากฝากอีกบ้าง 

“มันจะมีพาร์ทที่บุคคลทั่วไปสามารถมาเอนจอยด้วยได้ เช่น Festival Backstage Story เบื้องหลังการทำมิวสิคเฟสติวัลที่คนเบื้องหน้าไม่รู้ ไปจนถึงพาร์ทในการออกแบบเฟสติวัลที่ดีต้องทำยังไง อย่างน้อยมันก็เป็น Learning ที่เราแชร์ได้ว่าเราเคยพลาดอะไรมาบ้าง หรือทำไมการจัดอีเวนต์ในบ้านเราชอบมีเรื่องเพี้ยน ๆ เกิดขึ้นแบบ สร้างเวทีเสร็จแล้วต้องเอาธูปปัก ใช้ตะไคร้ไล่ฝน หรือถ้าไหว้ไม่ครบจะโดนฟ้าผ่านะ” ต้อมหัวเราะ

“อย่าลืมดาวน์โหลดแอพกันด้วยนะครับ ปีนี้เราได้ลงทุนไปในส่วนของแอพลิเคชั่นที่มีฟีเจอร์แจ้งเตือนว่า วงที่บุ๊คไว้กำลังจะเล่นภายในอีกไม่กี่นาทีแล้วนะ ตอนนี้เรากำลังเดินอยู่ตรงส่วนไหนของงาน ใช้เวลาหรือระยะทางเท่าไหร่ในการเดินไปอีกเวทีนึง อยากให้แฟนเพลงสละเวลาทั้ง 2 วัน มาเดินดูเผื่อปีหน้าอาจจะอยากกลับมาอีก น่าจะเป็นวันที่ดีสำหรับแฟนเพลงแน่นอนครับ” ไข่กล่าว

“อุตสาหกรรมดนตรีจะไม่มีทางแข็งแรงได้เลย หากขาดการสนับสนุนจากแฟนเพลง อยากให้ทุกคนมาด้วยใจที่เปิดกว้าง เราอาจจะไม่รู้จักศิลปินที่กำลังเล่นอยู่ก็ได้ แต่กลับกัน เราอาจจะได้เจอกับศิลปินคนโปรดคนใหม่ในวันนั้น มารับบรรยากาศ ค้นพบเพลงใหม่ ๆ และช่วยทำให้อุตสาหกรรมดนตรีมันมั่นคงมากยิ่งขึ้นกันเถอะครับ” พายทิ้งท้าย

+ posts

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy