Shye (ชาย) ศิลปิน dream-pop/shoegaze รุ่นใหม่จากสิงคโปร์ที่มาแรงที่สุดในนาทีนี้ เธอกลายเป็นหนึ่งในศิลปินอินดี้เอเชียที่เติบโตอย่างงดงาม ผ่านการเขียนเพลง โปรดิวซ์ และมิกซ์ด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ทุกเพลงคือภาพสะท้อนตัวตนและโลกในมุมมองของผู้หญิงขี้อายคนหนึ่งที่กล้าพูดความรู้สึกผ่านเสียง ผลงานทุกชิ้นสะท้อนให้เห็นว่าเธอสนุกกับการเติบโตและทดลองทุกสิ่งที่ใจเรียกร้อง ความละเอียดอ่อนในเสียงร้องของเธอกลายเป็นเสมือนเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่งที่เธอใช้เพื่อเล่าเรื่องราวในแบบของเธอ
โชว์ครั้งแรกในประเทศไทยจึงไม่ใช่แค่โชว์ธรรมดา แต่มันคือการพบกันของคนฟังและตัวตนที่แท้จริงของ Shye เธอไม่ได้ต้องการแค่ให้คนดูสนุกกับเพลง แต่หวังว่าคนฟังจะรู้สึกว่าได้รู้จักกันผ่านบทเพลงที่พูดถึงความเปราะบาง ความสับสน และความกล้าที่จะเป็นตัวเองอย่างเต็มที่
ทำให้คนฟังรู้สึก “ถูกมองเห็น” ผ่านเนื้อเพลงจริงใจและการเรียบเรียงที่ละเอียดอ่อน
Space Invader วันนี้ ทีมคอสมอสได้มีโอกาสพูดคุยกับ Shye ผ่านอีเมล์ถึงแนวทางดนตรีของเธอ รวมถึงเพลงใหม่ที่เธอเพิ่งปล่อยออกมา และโชว์แรกในไทยของเธอที่เธอตื่นเต้นมากเหมือนกัน

ตอนที่คุณชนะ Vans Musicians Wanted ในปี 2018 ตอนนั้นคุณอายุแค่ 16 เอง น่าทึ่งมาก มองย้อนกลับไป มีอะไรจากตอนนั้นที่ยังส่งผลกับการทำเพลงของคุณในตอนนี้ไหม?
เวลาที่รู้สึกหลงทางหรือไม่แน่ใจในเส้นทางดนตรีของตัวเอง ฉันมักจะย้อนนึกถึงจุดเริ่มต้น ว่าทำไมถึงเริ่มทำเพลงตั้งแต่แรก ตอนนั้นมันแค่เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อฆ่าเวลา แล้วก็อยากลองเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แต่พอได้ลองจริงจัง ก็หลงรักมันเข้าเต็ม ๆ และโชคดีมากที่ตอนนี้ได้ทำมันเป็นงานหลัก แค่นั้นก็รู้สึกขอบคุณสุด ๆ แล้ว
วงการนี้มันเร็วมาก แล้วก็ง่ายมากเหมือนกันที่จะเสียตัวตนของตัวเองไป การพยายามยึดมั่นในสิ่งที่เราเป็น บางทีมันก็มาพร้อมกับการต้องสละบางอย่างไปบ้าง แต่ฉันคิดว่ามันคุ้มค่านะ เพราะสุดท้ายมันก็สะท้อนออกมาในผลงาน แล้วนั่นแหละที่ทำให้ฉันอยากทำต่อไป มันอาจจะไม่ใช่ทางที่ง่าย แต่ในระยะยาว มันช่วยให้ฉันมีสุขภาพใจที่ดีกว่าแน่นอน
ช่วงแรก ๆ EP ของคุณมีกลิ่นอายแบบ bedroom-pop นุ่ม ๆ แต่พอมาถึงอัลบั้ม 9LIVES กลับกลายเป็นแนว shoegaze หรือ dream-pop เต็มตัว อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณเปลี่ยนทิศทางแบบนั้น
จริง ๆ แล้วฉันชอบฟังเพลงแนวนั้นมาตลอดเลยนะ แล้วก็ฝันอยากจะทำเพลงในสไตล์นั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่รู้ว่าตัวเองยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะก่อน เพราะไม่ได้ฝึกกีตาร์แบบมืออาชีพหรือจบ Sound Engineer แต่หลายปีที่ผ่านมา ฉันก็ฝึกไปเรื่อย ๆ เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก อายุที่มากขึ้น ประสบการณ์ที่สะสม ก็ช่วยให้มีหูที่แม่นยำขึ้นในการฟังและปรับซาวด์ พอเริ่มจับจุดได้ว่าตัวเองอยากให้เพลงออกมายังไง มันก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
มันอาจจะไม่ได้เหมือนแนวดนตรีนั้น 100% หรอก แต่มันเป็นเวอร์ชันของฉันเอง และนั่นคือสิ่งที่ฉันชอบที่สุด
ในฐานะที่คุณเขียนเพลง โปรดิวซ์ และมิกซ์เพลงเองทั้งหมด คุณรู้ได้ยังไงว่าเพลงไหนเสร็จแล้ว คุณเชื่อสัญชาตญาณตัวเองหรือดูจากความสมบูรณ์แบบของงานเป็นหลัก
สำหรับฉันแล้ว เพลงมันไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์จริง ๆ หรอก เพราะมันมีช่องให้เพิ่ม ลบ หรือปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ ก็คือมันสามารถวนอยู่แบบนั้นได้ตลอดไปเลยก็ว่าได้
การที่ฉันทำทุกอย่างเองมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือฉันสามารถแก้ไขอะไรก็ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาสตูดิโอหรือค่าใช้จ่าย แต่มันก็ทำให้ฉันใช้เวลากับมันเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงการมิกซ์ เพราะแค่การมิกซ์อย่างเดียวก็สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของเพลงทั้งเพลงได้เลย
หลังจากที่ทำแบบนี้มาหลายปี ฉันเริ่มรู้สึกว่าการบอกว่า “เพลงเสร็จแล้ว” มันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า เช่น พอฟังแล้วก็จะรู้เองว่า “โอเค เวอร์ชั่นนี้แหละใช่เลย” ถึงจะยังอยากปรับอะไรต่อ แต่ฉันก็เรียนรู้ที่จะเชื่อในตัวเองและในสิ่งที่หูของฉันได้ยิน
ปีนี้คุณปล่อยซิงเกิลออกมาหลายเพลงเลย ทั้ง Waited for You และ Cecilia ตอนที่คุณทำเพลงพวกนี้ คุณคิดอะไรอยู่บ้าง มันเป็นเรื่องราวแยกกันหรือเป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่ใหญ่กว่านั้น
เพลงพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะปล่อยออกมา ซึ่งทุกแทร็กในอัลบั้มนี้ต่างก็ช่วยกันเล่าเรื่องราวของอัลบั้มให้ครบถ้วนในแง่ของสารที่อยากสื่อ ส่วนในแง่ของซาวด์ ฉันว่ามันเป็นแนวเสียงที่ฉันอยากลองทำมานานแล้ว และตอนนี้ก็รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด
สำหรับงานที่เป็นอัลบั้ม ฉันมักจะวางโครงเรื่องไว้เสมอ ทุกเพลงจะมีบทบาทในการเล่าเรื่องร่วมกัน ดังนั้นมันจึงเชื่อมโยงกันอยู่ในภาพรวมทั้งหมด
เพลง Waited for You ฟังดูเข้าถึงอารมณ์และมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะในพาร์ตของเสียงร้อง การเขียนเพลงของคุณเปลี่ยนไปยังไงบ้างในเรื่องของการแสดงความรู้สึก
ฉันชอบผลักขอบเขตของตัวเองอยู่เสมอ อยากพัฒนา อยากลองพื้นที่เสียงใหม่ ๆ อยู่ตลอด ยิ่งตอนนี้มีประสบการณ์มากขึ้น เข้าใจเรื่องเทคนิคมากขึ้น ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองมีเครื่องมือพร้อมที่จะลงลึกกับแนวทางแบบนี้มากขึ้น ซึ่งมันอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Waited for You ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ชัดเจนขึ้นในเสียงร้อง
สิ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นกับงานของตัวเองคือการที่มันไม่รู้สึกซ้ำซาก ไม่ว่ากำลังเขียนเพลง โปรดิวซ์ หรือมิกซ์เสียง ฉันมองเสียงร้องเหมือนเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถหยิบมาเล่นสนุกกับมันได้ และเมื่อไหร่ที่ค้นพบวิธีใหม่ ๆ ในการใช้เสียงเพื่อเล่าความรู้สึก มันจะทำให้ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
คุณเคยได้เล่นเปิดให้ศิลปินระดับโลกอย่าง Daniel Caesar และ Men I Trust ด้วย รู้สึกยังไงบ้างตอนนั้น แล้วคุณได้อะไรจากโชว์ของพวกเขาที่เอากลับมาใช้ในโชว์ของตัวเองไหม
การได้เปิดให้ศิลปินระดับนั้น แถมยังเป็นคนที่ฉันชื่นชมอยู่แล้ว มันทั้งตื่นเต้นและประหม่าในคราวเดียวกันเลย แต่ก็รู้สึกขอบคุณมาก ๆ สำหรับโอกาสแบบนั้น
สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มากที่สุดจากพวกเขา จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเทคนิคหรือโชว์อะไรที่จับต้องได้ขนาดนั้น แต่เป็นทัศนคติที่พวกเขามีต่อการทำงานของตัวเอง มันเป็นแรงบันดาลใจจริง ๆ เวลาได้เห็นใครสักคนที่หลงใหลในสิ่งที่ทำ และยังสามารถถ่อมตัวได้แม้จะประสบความสำเร็จขนาดนั้น มันเป็นสิ่งที่ฉันให้คุณค่ามาก และอยากเตือนตัวเองไว้เสมอ
ในบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ คุณเคยบอกว่าการแสดงสดยังทำให้คุณรู้สึกประหม่าบ้าง อะไรที่ช่วยให้คุณรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเวลาขึ้นเวที แล้วสำหรับโชว์ครั้งแรกในประเทศไทย คุณรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรเป็นพิเศษ
โดยนิสัยแล้ว ฉันเป็นคนขี้อายอยู่แล้ว ถึงจะชอบการแสดงสดมากแค่ไหน แต่ก่อนขึ้นเวทีก็ยังมีความรู้สึกประหม่าอยู่เสมอ บางครั้งก็เผลอคิดมากไปเอง คิดถึงสิ่งที่อาจจะผิดพลาด แต่ความประหม่าเหล่านั้นก็มักจะหายไปทันทีที่ได้เริ่มเล่น
สิ่งที่ช่วยได้มากคือการได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม เพราะมันกลายเป็นความสนุกสำหรับฉันทุกครั้งเลย ยิ่งได้เห็นคนฟังตอบสนอง ได้แชร์พลังกันไปมา มันทำให้ลืมความกังวลไปหมด
ส่วนเรื่องโชว์ครั้งแรกในไทย ฉันตื่นเต้นมาก ๆ เลย เพราะไม่รู้เลยว่าคนดูจะเป็นยังไงบ้าง ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่น่าสนใจของการได้เล่นในแต่ละประเทศ เราได้พบเจอผู้คนใหม่ ๆ ได้ร่วมงานกับทีมใหม่ ๆ แล้วก็ได้เห็นว่าวัฒนธรรมของการดูโชว์แต่ละที่เป็นแบบไหน
แล้วตอนนี้มีศิลปินไทยคนไหนที่คุณชอบ หรืออยากร่วมงานด้วยบ้างไหม?
ฉันสนใจมากเลยนะที่จะได้สำรวจโอกาสใหม่ ๆ ช่วยแนะนำฉันได้เสมอเลยค่ะ (ยิ้ม)
กับซิงเกิลใหม่หลายเพลงที่ปล่อยมาในปี 2025 นี้ ถือเป็นการเปิดทางสู่อัลบั้มเต็มใหม่หรือเปล่า แล้วมันจะแตกต่างจาก 9LIVES หรือ Days to Morning Glory ยังไงบ้างในแง่ของซาวด์หรือธีม
ใช่เลยค่ะ ซิงเกิลเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยอัลบั้มเต็มลำดับที่สองของฉัน ฉันรู้สึกว่ามันมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในด้านของธีม เพราะตอนนี้ฉันโตขึ้น มุมมองต่อชีวิตก็เปลี่ยนไป มันแตะไปถึงประเด็นที่หนักกว่าที่เคยเขียนมาก่อนหน้านี้
ในเรื่องของซาวด์ ฉันคิดว่ามันเป็นการรวมองค์ประกอบจากแนวดนตรีที่ฉันเคยลองมาก่อน แล้วก็มีการทดลองเสียงใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย มันเหมือนเป็นภาพสะท้อนของพัฒนาการทางดนตรีของฉันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา และในขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนตัวตนของฉันในวันนี้ด้วย ฉันตื่นเต้นมากที่จะให้ทุกคนได้ฟัง
สุดท้ายแล้ว ถ้ามีใครสักคนได้ดูโชว์ของคุณครั้งแรกที่ Blueprint Livehouse คุณอยากให้พวกเขาจดจำอะไรเกี่ยวกับตัวคุณและดนตรีของคุณบ้าง
ฉันอยากให้ทุกคนได้เห็นฉันในแบบที่เป็นฉันจริง ๆ ที่สุด สำหรับฉันแล้ว สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในงานดนตรีของตัวเอง คือการได้เป็นตัวของตัวเอง เพราะทุกชิ้นงานที่ปล่อยออกมานั้น ฉันลงมือทำเองทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ มันคือสิ่งที่แท้จริงที่สุดที่ฉันจะใช้สื่อสารในฐานะศิลปิน และในฐานะคนคนหนึ่ง
ฉันหวังว่าคนดูจะรู้สึกว่าได้รู้จักฉันในอีกแง่มุม ไม่ใช่แค่ในฐานะ Shye ศิลปิน แต่รวมถึงในฐานะ Shye คนธรรมดาคนหนึ่งด้วย ฉันหวังว่าดนตรีของฉันจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองถูกรับฟังและเข้าใจ ว่ามันโอเคนะที่จะรู้สึกเปราะบางและสับสนในเวลาเดียวกัน
ที่สำคัญที่สุด ฉันหวังว่าพวกเขาจะสนุกกับโชว์ เพลิดเพลินกับเสียงเพลง และอยากกลับมาฟังอีก เพราะฉันเองก็อยากจะกลับมาเล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่นี้อีกครั้งเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)
Shye กำลังจะมีเดบิวโชว์ในไทยกับงาน Wildest Youth presents: SHYE Live in Bangkok ศิลปิน dream-pop/shoegaze รุ่นใหม่จากสิงคโปร์ที่มาแรงที่สุดในนาทีนี้ พร้อมวงเจ้าบ้านอีก 2 วงที่จะมาเติมความสนุกให้กับค่ำคืนนั้น กับ Death of Heather และ Slowwves มาสัมผัสดนตรีที่นุ่มนวลชวนฝันของเธอได้ วันเสาร์ที่ 26 เมษายน Blueprint Livehouse จับจองบัตรได้ที่ Ticketmelon


ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา