เป็นอะไรที่ยิ่งกว่าฝันที่ไม่กล้าฝัน เมื่อครั้งที่ Slowdive ต้นตำรับวงชูเกซดรีมป๊อปปลายยุค 80 ต้น 90 ประกาศกลับมารวมตัวกันอีกครั้บในปี 2014 หลังจากที่แยกย้ายกันไปในปี 1995 แล้วยิ่งไปกว่านั้นยังมีอัลบั้มใหม่ออกมาให้ได้ฟังกันในปี 2017 แถมในปี 2023 พวกเขาก็มีงานใหม่กว่านั้นให้ได้ฟัง และเรากำลังจะได้ดูพวกเขาเล่นเพลงเหล่านั้นแบบสด ๆ ในไทยเป็นครั้งที่สอง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!
Space Invader ตอนนี้เลยขอชวน Christian Savill มือกีตาร์จาก Slowdive มาเล่าการทำงานในอัลบั้มชุดล่าสุด ‘Everything is Alive’ และเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับวงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน พิเศษสุด ๆ ที่ The COSMOS ก่อนไปดูโชว์ที่ขายหมดเกลี้ยงของพวกเขาในวันที่ 18 มีนาคม ที่ Voice Space กับ #HYHBKK Live! with Slowdive
เมื่อนึกถึง Slowdive เราก็ไม่คิดว่าจะได้ยินซาวด์อะไรแบบนี้จากพวกคุณ รู้สึกว่าได้อิทธิพลจากเพลงอิเล็กทรอนิกอันเดอร์กราวด์ยุค 80 มาก ๆ แต่ก็ยังให้บรรยากาศและซาวด์กีตาร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของวงอยู่ ช่วยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับทิศทางดนตรีของอัลบั้มนี้หน่อย
จริง ๆ เราโตมากับเพลงซินธ์นะ แล้วเพลงพวกนั้นก็เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาพาร์ตดนตรีของเรามาโดยตลอด ผมจำได้ว่าผมอินมาก ๆ ตอนที่เพลง ‘The Model’ ของ Kraftwerk ติดชาร์ตอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เป็นเวลานานก่อนที่ผมจะมาเล่นกีตาร์ซะอีก ส่วนนีล (ร้องนำ, กีตาร์) ก็ชอบเพลงอิเล็กทรอนิกช่วงต้น 90 มาก ๆ ซึ่งเราน่าจะได้ยินซาวด์อะไรเหล่านั้นในอัลบั้ม ‘Pygmalion’ มาบ้าง ดังนั้นมันไม่ใช่อะไรที่ฉีกจากที่เราเคยทำไปซะทีเดียว แล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ นีลกับไซมอน (กลอง) ก็ทั้งทดลองเล่นและแต่งเพลงจากซินธิไซเซอร์อยู่บ่อย ๆ ผมว่ามันเป็นแค่การที่นีลสนุกกับการได้ลองเขียนเพลงแบบใหม่ ๆ ส่วนพวกเราก็ชอบไอเดียที่เขานำเสนอเพื่อจะทำออกมาเป็นเพลงแบบในอัลบั้มนี้ครับ
เป็นเวลากว่า 6 ปีตั้งแต่ปล่อยอัลบั้ม ‘Slowdive’ ออกมา ซึ่งงานชุดนั้นก็เป็นงานแรกหลังจากที่หายไป 20 ปี อยากรู้ว่าตอนที่กลับมาทัวร์ในช่วงปี 2014 เป็นต้นมา มีโมเมนต์ไหนไหมที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงในอัลบั้ม ‘Everything is Alive’
ผมพูดแทนนีลไม่ได้ดังนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาได้แรงบันดาลใจอะไรจากช่วงที่เราทัวร์กันหรือเปล่า เพราะนีลเป็นคนที่ทำเพลงแล้วก็เขียนเพลงอยู่ตลอด แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะทำไปพร้อม ๆ กับตอนเล่นคอนเสิร์ตครับ ดังนั้นพอจบทัวร์แรก เราก็เลือกที่จะพักไปปีนึงเพื่อที่จะทำอัลบั้ม แต่ก็ดันมีโควิดซะก่อน ผมคิดว่าแรงบันดาลใจมันน่าจะเกิดในช่วงที่ล็อกดาวน์มากกว่า
เห็นว่า John Cale กับ The Velvet Underground มีอิทธิพลอย่างมากกับพวกคุณด้วย
The Velvet Underground เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญของพวกเรา และคนรุ่นเราเลยแหละครับ หนึ่งในเหตุผลที่ผมอยากมาร่วมวงตอนปี 1989 ก็เพราะผมเคยได้ยินพวกเขาคัฟเวอร์เพลง ‘Stephanie Says’ ออกมาได้เยี่ยมยอดมาก ๆ ตอนนั้นก่อนที่วงจะมาเป็น Slowdive อีกครับ (เมื่อก่อนวงใช้ชื่อว่า The Pumpkin Fairies). ผมรู้ว่าอัลบั้ม ‘Paris 1919’ ของ John Cale เป็นหนึ่งในงานโปรดของนีลเขาล่ะ
แล้วภาพปกอัลบั้มที่เป็นเขาวงกตเกี่ยวกับเพลงในอัลบั้มยังไงบ้าง
ตอนแรกเราก็ไม่ได้นึกถึงเขาวงกตกันหรอกตอนที่อัลบั้มเสร็จ เราแค่พยายามหางานที่ดูเข้ากับเพลงของเรา แล้วอิงกริดภรรยาของนีลก็ไปเจอภาพจำลองเก่าของเขาวงกตแห่งวิหารแร็งส์ แล้วพวกเราก็ชอบกันหมดเลย เราเปลี่ยนรูปตรงกลางให้มันดูหลอนขึ้นนิดหน่อย จริง ๆ แล้วอิงกริดเก่งมากกับการหางานภาพที่เหมาะกับเพลงของพวกเรา ตอนทำอัลบั้ม self-titled เธอก็เป็นคนเสนอไอเดียว่าให้เอารูปมาจากหนังปี 1957 ของ Harry Smith เรื่อง ‘Heaven and Earth Magic’
รู้สึกยังไงบ้างเมื่อคำดูถูกของสื่ออังกฤษในสมัยก่อนที่เรียกพวกคุณว่า ‘ซีนที่อวยกันเอง’ ในวันนี้ได้กลายมาเป็นมูฟเมนต์ที่สำคัญของดนตรีสมัยใหม่ เผลอ ๆ กลายเป็นแนวเพลงที่ได้รับความนิยมที่สุดในซีนอินดี้ของหลาย ๆ ที่ซะอีก
นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ ตอนที่พวกเราโดนเรียกว่า ‘พวกจ้องเกือก’ ช่วงยุค 90 มันไม่ใช่คำชมแน่ ๆ ล่ะ ตอนนี้กลายเป็นว่ามันถูกจำกัดความใหม่และกลายมาเป็นคำเรียกเชิงบวกสำหรับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่ค้นเจอเพลงแนวนี้หรือคิดจะทำวงดนตรี ผมสังเกตว่าคนที่มีอายุหน่อยในสหราชอาณาจักรจะไม่ค่อยสนใจพวกเรา อาจจะยังมองเราว่าเป็นพวกจ้องเกือกอยู่อย่างนั้นเพราะเคยฟังแค่อัลบั้ม ‘Pygmalion’ แล้วก็คงจะยึดเอาแต่คำวิจารณ์เพลงในยุค 90 เป็นสรณะ
เคยคิดไหมว่าเพลงที่ทำตอนอายุ 20 จะทรงพลังถึงขนาดนี้ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ วงดนตรีตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
แน่นอนครับว่าไม่ มันเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับพวกเรา ตอนเริ่มทำวงเราก็หวังไว้แค่ในระดับหนึ่งแหละ แค่ได้เล่นซักโชว์สองโชว์ หรือมีอัลบั้มสักชุดก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ความคิดที่ว่าคุณจะทำอัลบั้มออกมาสักชุดนึงแล้ว 30 ปีต่อมามีคนรู้จักมันถือว่าเป็นฝันที่ไม่กล้าฝันสุด ๆ แล้วล่ะครับ
อ่านเจอในเว็บไซต์ของ Grammy ว่าคุณรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยเวลาคนยกย่องพวกคุณว่าเป็น ‘วงในตำนาน’ หรือหลาย ๆ คนก็อยากฟังงานชุดเก่าแบบสด ๆ คุณยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ไหม
ผมโอเคนะว่าคนจะมองพวกเรายังไง ถ้าคนไหนชอบแต่เพลงเก่า ๆ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ จากมุมของพวกเรา เราก็อยากจะทำเพลงใหม่ ๆ เหมือนกันแหละ เราชอบความรู้สึกที่ได้เล่นเพลงใหม่ที่พวกเรายังตื่นเต้นกับมัน ก็หวังว่าคนที่ชอบอัลบั้มเก่า ๆ จะลองฟังเพลงใหม่ ๆ ดูด้วยครับ แต่ก็แน่นอนว่าผมสังเกตนะว่าคนก็ร้องเฮกันเวลาเล่นเพลงใหม่อย่าง ‘Sugar For the Pill’ หรือ ‘Kisses’ ไม่ต่างจากเวลาเราเล่นเพลงโปรดของพวกเขาจากชุดเก่า
เป็นเรื่องปกติของศิลปินที่เล่นเพลงที่เขียนตอนที่อายุน้อยกว่านี้แล้วไม่รู้สึกอินเหมือนเคย คุณเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่า
ผมว่าเป็นกันหมดทุกคนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพลงเพลงนึงเป็นเหมือนบันทึกภาพเหตุการณ์เฉพาะเหตุการณ์หนึ่ง หรือความรู้สึกที่มันอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก การเล่นเพลงเดียวกันสด ๆ ให้ความรู้สึกต่างกันในทุกคืน บางครั้งเวลามีโมเมนต์อะไรบางอย่างในโชว์ก็อาจจะทำให้การเล่นเพลงนั้นพิเศษไปอีกแบบ อาจจะเป็นซาวด์ที่ดี หรือปฏิกิริยาของคนดู หรืออะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกกับเพลงมากขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่คุณค้นพบและทำให้คุณได้เรียนรู้จากการยืนระยะในวงการมาอย่างยาวนานคืออะไร
เราได้เห็นทั้งขาขึ้นและขาลงมากมายในอุตสาหกรรมดนตรี เหมือนกับชีวิตของพวกเราทุกคนแหละครับ ก็แค่ใช้เวลากับมันให้คุ้มค่าที่สุด แล้วก็อย่าใช้โอกาสเปลืองหรือทำอะไรทิ้งขว้างครับ
คุณเคยเล่าในบทสัมภาษณ์ตอนงาน Laneway ที่สิงคโปร์เมื่อปี 2018 ว่าแฟนเพลง Slowdive เงียบกันมาก ๆ จนเกือบเหมือนจะให้ความเคารพเพลงของพวกคุณกันอยู่แล้ว อยากรู้ว่าโชว์อื่น ๆ เป็นแบบนั้นไหม
คนดูแต่ละที่ไม่เหมือนกันซะทั้งหมดหรอกครับ พวกเราดีใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้เรามีคนดูแล้ว เพราะตอน 1994 มันไม่ได้เป็นแบบนี้ (หัวเราะ) เราไปเล่นที่อเมริกาใต้แล้วคนดูเสียงดังมาก เฮลั่นมาก ซึ่งสนุกมาก ๆ ครับ ผมโอเคหมดเลยไม่ว่าเขาจะเงียบ เรียบร้อย หรือจะมีท่าทีสำรวม เขาจะแสดงออกแบบไหนก็ได้ เพียงแค่ว่าบางทีมันเงียบเกินจนเรานึกว่าเราทำอะไรผิด
จะได้มาเล่นที่ไทยเป็นครั้งที่ 2 แล้วหลังจาก Maho Rasop แต่นี่จะเป็นโชว์เดี่ยวครั้งแรก ตื่นเต้นไหม
พวกเรารอไม่ไหวเลยครับที่จะได้กลับมา เราจะได้เล่นนานขึ้นแล้วก็ได้เล่นเพลงจากทุกอัลบั้ม ขอบคุณมาก ๆ ที่ยังสนับสนุนกันเรื่อยมา ตื่นเต้นสุด ๆ ไปเลยครับ หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับโชว์ของพวกเรา
อ่านต่อ
CAN วงจากเยอรมนีที่ทำให้เสียงของ Krautrock ดังไปทั่วโลก