VVAS อาจจะไม่ใช่ชื่อวงที่คุ้นตาสำหรับบางคนนักในตอนนี้ แต่ถ้าบอกว่าพวกเขาคือวง Wave and So จากค่าย Parinam Music หลายคนก็อาจจะอ๋อขึ้นมาทันที เพราะน่าจะยังคงจำเพลงฮิตของพวกเขาได้ทั้ง Way Hay, Meet & Greet และ วันที่เรานัดกัน
แต่หลังจากช่วงโลกระบาดเพิ่งจากไป พวกเขาก็ทุบทำลายล้างภาพสามหนุ่มคลั่งรักของตัวเองอย่างย่อยยับด้วยการปล่อยเพลง Brutalism ที่มีสไตล์ดนตรีก้าวร้าว ลูปกลองอันน่าหวาดหวั่น กีตาร์ที่แสบแทงแก้วหู และเนื้อเพลงที่ดุดันขึ้น พร้อมประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น VVAS เพื่อประกาศกร้าวว่าถึงยุคใหม่ของพวกเขาแล้ว
หลังจากปล่อยเพลงออกมาเรื่อย ๆ เพื่อตอกย้ำแนวทาง post-punk ของพวกเขาที่ชัดเจนขึ้น ในที่สุด พวกเขาก็ปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาในชื่อว่า Eyesore ซึ่งมีสำเนียงที่แตกต่างแปลกใหม่ เพื่อเติมจังหวะดนตรีใหม่ ๆ ให้กับซีนดนตรีไทย Transmission วันนี้ เราอยู่กับทั้งสามคนเพื่อพูดคุยกันถึงแนวทางใหม่ที่พวกเขาเลือก เบื้องหลังอัลบั้มใหม่ และถอดรหัสการทำงานของทุกเพลงในอัลบั้มเพื่ออธิบายให้ทุกคนฟังว่ามันสนุกขนาดไหน
สมาชิก VVAS
โอ๊ต—นิพัฒน์ ศรีสวัสดิ์ (ร้อง, กีตาร์)
โซ่—ปัญจวิช ตั้งตรงจิตร (ร้อง, เบส)
ชิน—ชินธิป เอกก้านตรง (กีตาร์)
ทำไมตัดสินใจเปลี่ยนแนวเพลง
โซ่: อยากทำเฉย ๆ (หัวเราะ) มันอยากทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ติดกับช่วงโควิดได้นั่งปั่นเดโมเลยเกิดเป็นเพลงพวกนี้ มันก็ร้อยเรียงกับบริบทในประเทศที่มันฟักอัพเยอะ เลยได้เดโมที่เนื้อร้องaggressive บ่นด่าสภาวะช่วงนั้นเยอะ
เป็นการเปลี่ยนผ่านจากแนวเพลงที่เราฟังด้วยรึเปล่า
โซ่: ก็ด้วย ตอนแรกเราชอบพวก dreampop, jangle pop พวก Beach Fossils อะไรเงี่ย เราชอบกันมาก ๆ อย่างอัลบั้ม Absurf เราทำตั้ง 19 เพลงอะ มันก็อิ่ม เราอยู่กับมันนานมาก แทนที่ปล่อยแล้วเราจะได้ทัวร์แต่โดนโควิดหยุดชะงัก ก็ทำให้เซ็ง ๆ เอียนไปยาว ๆ ช่วงนั้นก็ไปติดเพลงแนวนี้เยอะกว่าเดิม
เคยได้ยินว่า โซ่ กับ โอ๊ต จะฟังเพลงใกล้ ๆ ตอนทำอัลบั้มนี้เราฟังอะไรกันบ้าง
โซ่: ถ้า reference แรง ๆ ของอัลบั้มเราก็คือ วง post-punk ของแคนาดาครับ ชื่อ Woman ตอนนี้สมาชิกของวงนี้ก็ออกมาทำอีกวงหนึ่งชื่อ Preoccupations ก็เป็นวงตำนานของแคนาดาที่ใช้ซาวด์แบบนี้ วิธีเล่นกีตาร์วิธีร้องประมาณนั้น แล้วเราก็ต่อยอดว่าวงไหนที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Woman บ้าง ก็มี Corridor และก็ Omni ทำนองนั้น แล้วจับพลัดจับผลูทำไปทำมา ได้คนที่มาสเตอร์อัลบั้มคือ Telstar Drugs อันนี้เป็นยุค Woman Era ก็จะมีวงแบบนี้เยอะมากในแคนาดา ซึ่งเราก็ไปหาฟังเพลงเรื่อย ๆ จนไปเจอวง Unschooling จากฝรั่งเศส คนมาสเตอร์ชื่อว่า Josh Boguski ก็เคยอยู่วง Telstar Drugs ชอบซาวด์แบบนี้เลย ก็เลยติดต่อเขาไป
โอ๊ต: ต้องเล่าก่อนว่ากระบวนการทำเพลงของวงส่วนใหญ่จะเป็นโซ่ขึ้นเพลงมาก่อน เกือบจะครบทุกชิ้น บางเพลงผมก็เขียนเนื้อ ชินเขียนเนื้อ คนที่จะเล่าภาพรวมของอัลบั้มน่าจะเป็นโซ่มากกว่า แต่ผมพูดถึงวงที่ผมชอบฟังในแนวนี้ละกัน คล้าย ๆ กัน พวก Deeper ผมจะชอบโจ๊ะ ๆ หน่อย โซ่จะชอบพวกดาร์ก ๆ นิดนึง แล้วก็ Personal Trainer, MNNQNS กับ Folly Group (โซ่: ยุคนี้เขาเรียก crack wave ปะ) เออ กีตาร์ครองแครง ประมาณนี้ครับ ไม่ได้ลึกมากแต่เป็นวงที่ทำเพลงโจ๊ะ ๆ หน่อย
มาทางชินบ้าง ชินฟังอะไรตอนทำอัลบั้มนี้
ชิน: ของผมเป็นฝั่งอังกฤษครับ Fontaines D.C., Shame, Hotel Rush อะไรแบบนั้น เพิ่งเจอวงหนึ่งที่ชอบเหมือนกันคือ Egyptian Blue (โซ่: ตอนนี้แบบกรี๊ดกร๊าดกัน) ชอบไลน์กีตาร์มันมาก ๆ
มาที่ชื่อวงเราบ้าง
โซ่: มันก็คือคำว่า Wave and So (หัวเราะ) แบบย่อเอาตัวแรกมารวมกัน ถ้าในแง่กราฟฟิกพยัญชนะสี่ตัวมันเท่กว่า อย่างวง Omni อย่างงี้มันเท่จัดเลยอะ ถ้าทำฟ้อนต์หรือไปวางอยู่ไหน Wave and So มันต้องวรรค แต่พอเป็นคำเดียวอย่าง PLOT พอโดด ๆ แล้วเขาเท่ว่ะ แต่มันทำให้วงเราอ่านว่าอะไรก็ได้ บางทีอยากเรียกว่าเราว่า “วิวาท” ก็ได้ ตลกดี
โอ๊ต: ตอนนี้ชื่อวงอ่านยากเลยครับ พิศวงจัด (หัวเราะ)
โซ่: ตอนไปญี่ปุ่นก็คือ คนทักว่าใช้ V สองตัวเหมือนวง Alvvays ใช่มั้ย ก็เลยตอบว่าใช่ครับ (หัวเราะ) โดนแซว ๆ
อัลบั้ม Eyesore มีคอนเซปต์มั้ย ตามสไตล์ชาวกราฟฟิกต้องมีอยู่ละ
โอ๊ต: ชื่อมาทีหลังสุดเลยเนอะ
ชิน: แต่ base on concept อัลบั้มจากเพลงแรกที่เป็น core หลักคือ Brutalism ซึ่ง definition ของมันคือ “The building that make an eyesore” มันเป็นมลภาวะทางสายตา เราเลยชอบคำนี้ ตอนแรกจะบิดเป็น “earsore” เพื่อล้อคำนั้น แต่โซ่บอกว่า Woman มีเพลงชื่อนี้พอดี เลยใช้ ‘Eyesore’ แหละ
Track by Track
Jogging
โอ๊ต: ผมเป็นคนเขียนเนื้อ ส่วนตัวชอบเพลงอันดับต้น ๆ เลยด้วย เพลงนี้มันพูดเรื่องการเลือกเส้นทางในการทำอะไรด้วยตัวเอง คนอื่นไม่ต้องยุ่ง เป็นเพลงปลุกใจ “I can run” ฉันวิ่งไปได้แต่ฉันก็จะเดินไปเรื่อย ๆ ซักวันมันต้องถึงเส้นชัย หลัง ๆ ภาพรวมของอัลบั้มเรื่องเนื้อเพลงจะพูดถึงเรื่องใช้ชีวิตมากขึ้น ไม่ค่อยได้พูดเรื่องความสัมพันธ์เยอะขนาดนั้น
โซ่: พอมาทำอัลบั้มนี้ เราก็กลายเป็น Gear Nerd ไปโดยสมบูรณ์ ไปป้ายยาหรือไปบังคับให้ทุกคนซื้อกีตาร์แบบโน่นแบบนี่มา เพื่อที่จะได้ซาวด์แบบนี้ (โอ๊ต: หมดกันไปเยอะครับ (หัวเราะ) ขายขาดทุนก็เยอะ) อย่างเช่นเพลง Jogging ดนตรีเองก็เรฟมาจาก Corridor ตอนนั้นเราฟังแล้ว spark joy กับวงกับการทำเพลงของเขา ไปเนิร์ดว่าเขาใช้กีตาร์ Mustang กันนะ ตอนนั้นก็ยุให้พี่โอ๊ตซื้อ พี่ชินก็ไปเอา Mustang มาโมดิฟาย เขาใช้แอมป์ Fender นะ ก็ไปยืมโน่นนี่มาอัด จนอยากให้ซาวด์มันฟิลลิ่งเดียวกับเขาให้ได้ มันก็จะคนนิยามเพลงนี้ว่า krautrock มันเป็นจังหวะกลองลูป ท่อนโซโล่อยากให้เล่นกันขัด ๆ กีตาร์ตัวหนึ่งเล่นจังหวะนี้ อีกตัวเล่นจังหวะนี้ มันก็แปลกใหม่สำหรับวงดีครับ ได้ฝึกสกิลหรือได้เล่นอะไรที่ไม่ใช่ซิงเกิลโน๊ตบ้าง
โอ๊ต: ตอนแรกผมท้อด้วยนะครับ (หัวเราะ) เพราะว่าเป็นคนเล่นกีตาร์เน่าสุดในวง ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน ตอนนี้ได้ละครับ
Precious
โซ่: ไม่รู้ว่าจะฟังแล้วเป็น post-punk กันมั้ยนะ เรารู้สึกว่ากลิ่น jangle pop มันเยอะมาก เราอยากได้ซาวด์แบบกีตาร์ 12 สายบ้าง เลยไปบังคับให้พี่ชินไปซื้อเอฟเฟคอีกแล้ว (หัวเราะ) เพื่อจะมาอัดเพลงเดียว รู้สึกว่าซาวด์เพลงนี้เราซาวดีไซน์กับมันเยอะมาก อยากลองนู่นนี่ มีท่อนกลางที่เป็นซินธ์ อยู่ ๆ เพลงก็เป็นแบบนั้นไปเลยจากสดใสกรุ๊งกริ้ง อยู่ดี ๆ ก็มีท่อนแบบ Pink Floyd มาเลยงี้ (หัวเราะ) หลัก ๆ กีตาร์เมโลดี้ให้มันเป็น jangle pop ไว้ แล้วใส่ความ indie rock 2000 เข้าไป แบบ The Maccabees
อุปกรณ์ที่แพงที่สุดในอัลบั้มนี้คืออะไร
โซ่: กีตาร์พี่ชินเลยครับ พ่อบุญทุ่ม
โอ๊ต: ไหนเล่าซิเพื่อน สีแดง ๆ สวย ๆ
ชิน: ตัวจบครับ Fender JOHNNY MARR Jaguar อยากได้มานานแล้ว ก็เลยจัดซะ
โซ่: ซาวด์ของวงเรา Jaguar ล้วนครับ ตั้งชื่ออัลบั้มว่า Jaguar ยังได้ เห็นมือกีตาร์ทั้งสองคนของ Fontaines D.C. เขาใช้ด้วย คิดภาพวง Alvvays เงี่ย จะไปแบบคาแรกเตอร์จัด ๆ ของมันก็ได้ จะเล่นกว้างก็ได้ รู้สึกว่ามีตัวนี้ตัวเดียวคุ้มแล้ว
โอ๊ต: ชื่นใจเว่อ
The Discussion
ชิน: เหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ของคนสองคน คือการดิสคัสกันในการหาข้อสรุปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
โอ๊ต: ไม่ต้องเป็นในเชิงคู่รักหรืออะไรงี้ ในความสัมพันธ์ไหนก็ได้ ตอนผมแต่งผมจินตนาการถึงหนังฝรั่งเวลาเขาไปบำบัดโรคซึมเศร้าในวงแล้วสลับกันพูด เราเห็นภาพประมาณนั้นเลยเอามาเขียน ดีใจที่เห็นคนร้องได้ครับ อาจจะร้องง่าย
โซ่: เพลงนี้คือได้แรงบันดาลใจจาก Deeper เลยครับ ผมเป็นคนตีกลองไม่เป็นใช่มั้ย จะเขียนเพลงก็ต้องกดปุ่มคีย์บอร์ดตามจังหวะกลองเอง มันจะแปลก ๆ คอม ๆ ยังไงก็เพราะผมนั่งกดเนี่ยแหละ แล้วให้ โดม FOLK9 ตี โดมก็จะบ่นว่าไลน์กลองประหลาด (หัวเราะ)
วงจะหามือกลองของตัวเองไหม หรือต้องเป็นโดม
โซ่: โดมไม่อยากออก โดมอยากเล่นครับ (หัวเราะ)
โอ๊ต: ใช่หรอ (หัวเราะ) มันหายากครับ ก็เลยต้องโดมเท่านั้น
โซ่: เอาง่าย ๆ โดมไม่เถียงผม (หัวเราะ) แซว ๆ
Shadow Explorer
โซ่: น่าจะเป็นเพลงที่ทำให้ทุกคนในวงตกใจ อยู่ดี ๆ มันก็มาท่อนประหลาด วิธีการร้องประหลาด ซาวด์กีตาร์ประหลาด ๆ แต่มันก็ยังอยู่ใน genre ของ Woman ที่เราชอบอยู่ แต่วิธีการร้องซ้ำ ๆ หรือการเล่นกีตาร์เราได้แรงบันดาลใจจากวง Palm ที่ว่าเขาเป็น math rock นะ อยากลองทำเพลงแบบนั้นบ้าง แต่มันก็มีส่วนผสมในท่อนหลัง ๆ จะมีความ Arcade Fire มันเลยมีความแปลก ๆ มีหลายสัดส่วน
โอ๊ต: ส่วนเพลงนี้โซ่จะคิดคำมาแล้วเราสามคนช่วยกันเขียนเพลง เป็นเพลงที่เล่นสนุกมากครับ ชอบ
ส่วนหนึ่งที่ทำให้โซ่ต้องขยับมาร้องด้วย เพราะไอเดียทั้งหมดมาจากโซ่ด้วยรึเปล่า
โซ่: ก็ด้วยครับ เหมือนตอนแรก ๆ ที่ทำพี่โอ๊ตอาจจะยังไม่เข้าใจฟีลการร้องของอัลบั้มนี้เท่าไหร่ ก็เลยร้องเอง เหมือนโค้ชไม่ได้ด้วยเน้นทำให้ดู
โอ๊ต: มันเป็นการร้องสไตล์กึ่งพูดกึ่งอะไรหน่อย ๆ ผมจะงง ๆ หน่อย หลัง ๆ ก็เข้าใจไปเองว่ามันต้องเขียนเมโลดี้ประมาณนี้เพื่อให้ร้องแบบนี้ เพลงที่ร้องเมโลดี้เกินไปก็จะถูกโละหมด
Secords
ชิน: ตอนนั้นได้แรงบันดาลใจจากงานที่ทำอยู่ เพราะอยากออกมากแต่ออกไม่ได้ (หัวเราะ) มันเป็นไอเดียแบบ liminal period เหมือนอยู่ระหว่างทางของอะไรซักอย่าง เรารู้ว่ามันจะจบ แต่ระหว่างทางเราแย่แล้วอะ พูดถึงการ burn out ในตัวงานอะไรแบบนี้ แต่เป็นเพลงที่คำเยอะมาก โอ๊ตร้องเพลง เอาไปเล่นสดประมาณ 2-3 เวอร์ชั่น เนื้อร้องไม่เหมือนกันเลย เดี๋ยวรอดูตัวเนื้อร้อง official ครับ
โอ๊ต: เพลงนี้เราเขียนเนื้อร้องกันมาเยอะมากเลยครับ ผมเขียนจนเขียนไม่ได้แล้ว เลยให้ชินเขียน
โซ่: ดนตรีมันก็ indie rock post-punk 2000 อีกแล้ว แบบ The Strokes ด้วยนะ มันออกดิสโก้ร็อก ดิสโก้พังก์ (โอ๊ต: โจ๊ะ ๆ หน่อย)
Third Impact
โซ่: เพลงนี้พิเศษหน่อย ได้ Bedchember มา feat ด้วยครับ เนื้อเพลงเราเขียนหลังจากดู Evangelion ภาคสุดท้ายจบแล้วเราอิน การโหยหาความสุขที่แท้จริง การได้หลุดพ้นอะไรบางอย่างที่แท้จริง โดยไม่ใช่การคิดไปเองอะไรประมาณนั้น การ Impact มันคือการทำให้ความปรารถนาเราเป็นจริง เอาง่าย ๆ เขียนอิงการ์ตูนแหละ (หัวเราะ) โปรเซสมันคือเราเขียนเนื้อร้องกับดนตรีไว้นิดนึง แล้วส่งไปให้ทางโน่นอัดกีตาร์กับกลองมาให้ เขาก็ทำไอ้ท่อนประหลาดให้ประหลาดยิ่งขึ้น (หัวเราะ) พอมานั่งแกะเองก็กว่าจะเล่นได้ก็ซ้อมกันเยอะครับ สุดงง เราต้องอัดเสียงของเราเข้าไปด้วย ก็เดาว่าคำนี้คือคำนี้ ให้พี่ปูมช่วยฟังว่าเป็นคำนี้ สรุปเขาส่งเนื้อมาก็ไม่ใช่ (หัวเราะ) ต้องมานั่งอัดใหม่กัน แต่เป็นเพลงที่เล่นสดสนุกที่สุดแล้ว
แล้วได้ไปร่วมงานกันได้ยังไง
โอ๊ต: รอบที่แล้วที่เขามา POW Fest ก็คุยกันถูกคอครับ พี่ปูมก็สนิทกับคนที่วงดูแลเขาด้วย
โซ่: ถ้าเราตอบตื้น ๆ มันไม่เท่ใช่มั้ย (หัวเราะ) เราทำเพลงมาให้ feat กับเราหน่อยแค่นั้นเอง (หัวเราะ) ซึ่ง Bedchamber ทั้งวงก็เป็น Graphic Designer แล้วอัลบั้มล่าสุดเขาก็ทำเพลง post-punk โดยไม่ได้นัดกัน ดันชอบวงเหมือนกันแล้วเพลงก็คล้ายกันอีก อยากให้ลองฟังครับ มีความใกล้เคียง VVAS สุด ๆ
ชิน: เป็นวงที่ไลน์กีตาร์พิศวงมาก เขาคิดไลน์กีตาร์ได้เก่งมาก
Adolescence
โซ่: เราอยากมีเพลงแบบ Precious เพิ่มอะ โดยใช้ซาวด์ที่มาจากเพลงนั้น เพลงมันจะใกล้กัน แต่มีความยากตรงท่อนสุดท้ายที่เล่นซ้ำแบบยาว ๆ ไปเลย ให้คนฟังบ่นว่าเมื่อไหร่จะจบ (หัวเราะ) สาดกีตาร์ลูป ๆ krautrock ไปเลย (โอ๊ต: โดมมือจะหลุด) เหมือนตอนแรกเมโลดี้จ๋าเป็น jangle pop พอถึงพาร์ทสุดท้ายที่มันจะเข้าช่วงนั้นก็ตีคอร์ดอย่างเดียว อยู่ ๆ ก็เป็นแบบนั้น เหมือนหักหลังคนฟังดี สนุกดี โดมก็จะบ่นทุกทีกับการเล่นเพลงนี้
โอ๊ต: เพลงนี้ผมก็เขียนเนื้อเพลงนี้ ไหน ๆ ทำ post-punk ก็ต้องมีซักเพลงที่เนื้อมัน punk ๆ เข้าใจง่ายสุด ๆ ไปเลย ชินก็เป็นคนคิดชื่อเพลงด้วย เพลงพูดถึงเด็กที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับผู้ใหญ่ทุกเรื่อง
Interlude
โซ่: จริง ๆ เป็นเพลงที่เราทำอยู่บ้านเล่น ๆ มันเหมาะดีพี่ปูม เอาใส่ได้มั้ย (หัวเราะ) (โอ๊ต: เอาไว้พักหู) ก็หนักหนาอยู่นะ เป็นงานทดลองที่เราอยากลองทำซาวด์ industrial แบบง่อย ๆ อยู่ที่บ้าน เลยได้เป็นเพลงนี้
Panic Attack
โซ่: เราเขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นโรคนี้ เราเขียนอธิบายว่ามันเป็นยังไง เนื้อร้องอยากให้คนรู้ อยากให้ช่วยอะไรบางอย่างเราหน่อย เป็นภาวะตอนอาการกำเริบ พาร์ทดนตรีมันก็ไม่ post-punk นะ จริง ๆ มันคือเพลงป็อปเลย ถ้าฟังตอนแรก ๆ พออีกท่อนหนึ่งที่บิ้วให้พีคขึ้น tempo ทุกอย่างก็จะเร็ว ก็เอาคอนเซปต์มาจากอาการนี้ที่หัวใจจะเต้นเร็วจนเราต้องการความช่วยเหลือ ประมาณว่าช่วยภาวนาให้ฉันหายที เราพึ่งตัวเองไม่ได้ ไม่คิดว่าเป็นเพลงที่ตัวเองจะแต่งได้ เนื้อเพลงเปรียบเปรยเพ้อเจ้อไปหมด (หัวเราะ) น่าจะเป็นเพลงจังหวะกลางหรือช้าที่สุดในอัลบั้มด้วย
โอ๊ต: เป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดในอัลบั้ม
Moving In My Head
โอ๊ต: เพลงนี้ดนตรีมาก่อน เมโลดี้เนื้อร้องใส่ทีหลัง อันนี้เป็นเพลงที่เสร็จเพลงแรก ๆ แอบเอาไปเล่นสดบ่อย ๆ เนื้อเพลงพูดถึงคนที่ติดกับอะไรบางอย่าง อยากพยายามหลุดพ้นซักที ในเพลงจริง ๆ พูดถึงความเสพติดที่ต้องใช้อะไรซักอย่างเพื่อหลุดพ้น
โซ่: เป็นเพลงที่รู้สึกว่า post-punk ที่สุดแล้ว มันชัดเจนในความเป็น post-punk ที่เราชอบ ความรวดเร็วของกลองริฟกีตาร์โน่นนี่นั่น หม่น ๆ ทั้งเพลง มันดุทุกอย่างรุนแรงไปหมด (The COSMOS: เป็นแบบดาร์ก ๆ ที่โซ่ชอบ) หลัง ๆ ไม่ค่อยชอบแล้วเล่นยาก (หัวเราะ)
Detestation
โซ่: เพลงนี้พัฒนามาจาก Intelude ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็อยากลองว่าเอามาใส่กับเพลงอะไรประมาณนี้จะเป็นยังไง วิธีการคิดริฟกีตาร์ที่พี่ชินกับพี่โอ๊ตเล่นเป็น intro ขึ้นมา ก็ได้แรงบันดาลใจจาก Woman ทั้งนั้นเลย ไลน์กลองก็ได้แรงบันดาลใจจากเพลง Shaking Hand ด้วย โดยมีคอนเซปต์กลางที่แบบว่าอยากให้มันมีกลิ่น industrial ซึ่งเนื้อเพลงมันก็แต่งด่าคน (หัวเราะ) ช่วงแต่ง Brutalism หรือ XXXXX ก็แต่งด่าคน เป็นความเกรี้ยวกร้าวในตัวเราช่วงนั้น สิ่งที่เราเจอ ความกดดันที่เข้ามา เพลงนี้ซาวด์ดีไซน์เยอะมากครับ มันมีท่อนท้ายที่เป็นซินธ์ หรือท่อนกลางที่มีเสียงอะไรเยอะแยะ อยากให้ลองฟัง เพลงนี้ทดลองกันเยอะอยู่
โอ๊ต: ชอบด่าคน ไม่มีอะไรมากครับ
ชิน: ตอนแรกรู้สึกว่ามันมีความเป็นเพลงบทสวดที่ค่อย ๆ ไต่ไปเรื่อย ๆ อันนี้แกล้งคนฟังเหมือนกันว่าเมื่อไหร่มึงจะร้อง อินโทรนานมาก
XXXXX
โซ่: เพลงนี้ก็ด่าคน เราจะให้ชื่อเพลงว่า ฟัคยู แหละครับ แต่อาจจะเขียนไม่ได้ เลยเซ็นเซอร์ดีกว่า
Brutalism
ชิน: ตอนเล่นก็เอาไว้เพลงสุดท้ายเหมือนกัน จริง ๆ น่าจะพูดถึงความล้มสลายของทุกอย่าง
โซ่: เหมือนเป็นสรุปอะไรบางอย่างว่าสิ่งที่เราเขียนมาตั้งแต่แรก เรารู้สึกอย่างโน่นอย่างนี้ มันคือโครงสร้างอะไรบางอย่างที่เราอยากทำลายมัน เพื่อสร้างอะไรของเราเอง ก็จบด้วยเพลงนี้ก็สมเหตุผลดี เพลงนี้คอนเซปต์มันชัดด้วย เนื้อเพลงทั้งดนตรี น่าจะเป็นเพลงแรกที่ทำให้ทุกคนน่าจะเข้าใจในแนวทางที่เรากำลังจะไป
วันที่เราปล่อยเพลง Brutalism ออกมาวงรู้สึกยังไงบ้าง
โอ๊ต: ผมมีความไม่มั่นใจ ทั้งมั่นใจอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็มองว่ามันเป็นการตัดสินใจของวงร่วมกัน แล้วก็เห็นผลว่ามีคนฟังที่ไทยเยอะพอสมควร แฟนเก่าจาก Wave and So มาฟังก็มี หลัง ๆ ผู้ชายซะเยอะครับ (หัวเราะ) ตอนแรกเป็นผู้หญิงกว่าหน่อย ตอนนี้เป็นผู้ชายวิ่งมาดูบอร์ดกีตาร์ (หัวเราะ)
โซ่: ส่วนตัวไม่คาดหวังนะ แค่มันได้ทำแล้วเพลงออกมาตรงกับที่เราคิด เราก็ชอบแล้ว ยุคนั้นกรุงเทพมันมีการใช้ความรุนแรงอะไรด้วย เราก็อยากจะแต่งเพลงเพื่อพูดถึงความไม่พอใจในเหตุการณ์นั้นผ่านเพลงของเรา สำหรับเรามันตรงใจ ถูกไปหมด มันตรงกับอุดมคติของความเป็น post-punk การเขียนเพลง การคิด ตอนนั้นปล่อยออกมาได้ก็ดีใจ ดีใจที่ทุกคนยอมทำ ดีใจที่พี่ปูม (เจ้าของค่าย Parinam Music) ให้ปล่อย
พี่ปูมน่าจะเชียร์เลยมั้ย
ทั้งสามคน: ไม่เลยครับ
โอ๊ต: แรก ๆ ไม่ครับ มันฉีกจากเดิมเกิน มันเหมือนเราต้องหาแฟนเพลงใหม่ มันกลายเป็นวงใหม่อีกรอบ แต่พอทำ ๆ กันไปก็เก็ตภาพรวมมากขึ้น พี่ปูมก็เลยยอม โดยปริยาย
โซ่: แกเล่าให้ฟังว่า พอแกได้ไปเป็น delegate ที่ต่างประเทศเยอะ ๆ ก็ได้เห็นวงแบบนี้มากขึ้น ก็เลยเริ่มโอเคกับเรา ถ้านับกันจริง ๆ วงแบบนี้ก็ผุดเป็นดอกเห็ดเลยครับ ที่อังกฤษก็มี IDLES หรือ Shame แต่ละวงก็ทำออกมามีสไตล์ของตัวเองด้วย ในเอเชียก็อาจจะมีแต่มีน้อย แต่ Hariguam Zaboy ล่าสุดสำหรับเราก็ post-punk นะ
โอ๊ต: Public Punching Bags แล้วก็ Panician ด้วย
แนวเพลงที่เราทำก็ไม่ได้มีฐานแฟนที่ชัดเจนขนาดนั้น กังวลบ้างไหม
โซ่: จริง ๆ เราอยากไปต่างประเทศครับ เหตุผลที่ทำเพลงภาษาอังกฤษด้วย จากตอนที่ Wave and So ได้ไปแล้วมันแฮปปี้อะ
โอ๊ต: สำหรับผมผมมองสองอย่างนะ มีแฟนเพลงในไทยก็ดีแต่หลัก ๆ ที่วงทำเพลงภาษาอังกฤษก็แน่นอนแล้วว่าเราอยากผลักดันวงออกไปต่างประเทศด้วย เรามองตลาดข้างนอกมากกว่า เวลาไปเล่นเมืองนอกก็ได้ผลตอบรับที่ดีครับ คนที่นู่นเขากล้าลองฟังอะไรมากขึ้น ไม่เหมือนคนไทยที่ไม่รู้จักก็จะไม่สนใจ อย่างที่เราไปเล่นก็ไม่ได้มีแฟนเพลงเดนตายมาดู ส่วนใหญ่เป็นคนในระแวกนั้น พวกนักดนตรีระแวกนั้น คนจากค่ายเพลง เป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ
เพิ่งไปทัวร์เปิดอัลบั้มมาที่ญี่ปุ่นเป็นยังไงบ้าง
ชิน: เราได้ไป Music Lane Okinawa งานโชว์เคส จังหวะมันประจวบกับที่เราทำอัลบั้มเสร็จแล้วได้ไปออกกับค่าย Parabolica Records ที่โตเกียว ก็เลยได้ไปเล่นอีก 2 งานที่ FS. ไลฟ์เฮ้าส์ชิบุยะกับ LIVE HAUS ในชิโมคิตะซาว่า
โซ่: เขาเอนจอยนะ เขายืนไม่ไปไหนเลยอะกับโชว์ของเรา แค่นั้นก็ดีแล้วสำหรับเรา บางคนกระโดด โยกหน้าด้วย เป็นภาพที่ดี
พอเรามาทำแนวนี้ เราต้องวางจุดยืนของวงใหม่รึเปล่า เรายังเป็นวงอินดี้อยู่มั้ย หรือจะเป็นวงร็อก
โซ่: ไม่ได้คิดเลย
โอ๊ต: ไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยครับ คิดว่าเป็นเหมือนเดิมเลยครับ เคยทำตัวไงก็ทำแบบนั้น เสื้อผ้าที่เห็นสีดำ ๆ บางวันก็มีหลุดสีอื่นดูบ้าง ก็ไม่ได้นัดกัน
วงอยู่มา 10 ปีแล้ว เรารู้สึกว่าวงการดนตรีเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
โอ๊ต: ถ้าพูดแบบภูมิใจก็คือช่วงที่เราทำ Wave And So คือซีนดนตรีสนุกกว่า ตอนเนี่ยทุกวงมันจะคล้าย ๆ กันไปหมด เราไม่ค่อยเห็นวงทำอะไรแปลก ๆ พยายามฉีกจากวงอื่น สมมติเพลงดิสโก้ดังก็จะมีเพลงแบบเนี่ยผุดมาเต็มยูทูปภายใน 3 วัน ที่ผ่านมามันจะมีวงแปลก ๆ ถึงจะมีแนวดนตรีเดียวกันแต่ละวงก็จะมีเอกลักษณ์กว่าตอนนี้ ช่วงนี้เบื่อ ๆ อาจจะไม่ได้ฟังเพลงไทย เศร้า ๆ ครับ
โซ่: เหมือนยุคนั้นมีวงที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเยอะมาก ทุกอย่างมีให้ฟังหลากหลาย เมื่อก่อนเราก็มี disco punk ในไทยนะ มี post-hardcore เยอะแยะ แม้กระทั่งแนวเพลงเดียวกันแต่ละวงก็ยังมีอาร์ตเวิร์คต่างกันให้เสพ เดี๋ยวนี้พอดิสโก้ดังก็จะมีแต่ดิสโก้เต็มไปหมด ไม่มีอะไรใหม่ เหมือนคนไม่ค่อยซีเรียสในโปรเซสต์การทำงานเหมือนเรา คนอาจจะฟังเพลงเพราะความจรรโลงใจอย่างเดียวซึ่งโทษเขาไม่ได้ บริบทมันเปลี่ยน
ชิน: พอวงมันไม่ต้องพึ่งค่ายเพลงกันแล้วเพราะมีช่องทางให้โปรโมตกันเอง ก็มีวงเกิดขึ้นมาเยอะมากเลย อายุของคนทำดนตรีก็น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะเทคโนโลยีหรือ How to เต็มยูทูปไปหมด ผมดีใจที่มีคนผลิตงานเยอะ แต่พอมันเยอะมากแล้วมันเป็นไปในแนวทางเดียวกันหมดก็น่าเสียดาย ถ้ามีซักคนที่กล้าจะแหวกแนวขึ้นมาก็อาจจะมีโอกาสที่ทำให้เขา out standing ขึ้นมาได้ แต่ก็ดีใจเห็นคนยุคใหม่ ๆ ทำเพลงกันดีมาก ๆ ซาวด์ดี เรียบเรียงดี ๆ ถ้าทำกันต่อไปแล้วหาแนวของตัวเองเจอก็อาจจะดี
8 มีนาคมกำลังจะมีคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มด้วย มีโชว์อะไรพิเศษเตรียมไว้บ้าง
โอ๊ต: ก็จะได้ฟังทุกเพลงในอัลบั้มเนอะ
ชิน: มี Panician มาเล่นด้วยกันครับ ไม่อยากใช้คำว่าวงเปิด เรียกว่าชวนกันมาเล่นดีกว่า อยากดู
โซ่: ไม่แน่ อาจจะมีเพลงเก่าที่ได้อารยามาตีให้ อาจจะได้ยินเพลง วันนี้เรานัดกัน ก็ได้ อาจจะมีเซอร์ไพรส์อะไรแบบนั้น
สเต็ปต่อไปของวง
ชิน: ทำอัลบั้มต่อไปเลย
โอ๊ต: ถยอยปล่อยเพลงในอัลบั้ม แล้ววางแผนไปเล่นข้างนอกให้มากขึ้นครับ
โซ่: อยากเล่นเปิดวงที่เราชอบครับ อยากไปเล่นเฟสติวัลเดียวกับ Shame หรือ Egyptian Blue อยากอยู่ไลน์อัพเดียวกับเขา
ฝากอะไรถึงคนที่เพิ่งฟังอัลบั้ม Eyesore
โซ่: ถ้าฟังแล้วชอบก็ขอบคุณมากครับ ทั้งหมดนี้คือความเห็นแก่ตัวของเรา ถ้าคุณชอบเราก็ดีใจ (หัวเราะ) ไม่รู้จะพูดอะไร ขอบคุณครับ หวังว่าจะเอาเพลงรุนแรงของเราไปลง Tiktok อะไรงี้บ้าง อยากเห็นครับ
โอ๊ต: ถ้าชอบซักเพลงสองเพลงเราก็ดีใจแล้วครับ มันมีให้เลือกตั้งหลายเพลง (หัวเราะ) คุณอาจจะชอบเพลงที่ป็อปที่สุดก็ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี
ชิน: แค่ฟังก็ดีใจแล้วครับ ปกติเวลาผมฟังเพลงแล้วจะชอบหาเพลงหน้า B ของอัลบั้มนั้น เพลงที่เราชอบมาก ๆ จะได้หาโอกาสกลับมาฟังอีกรอบเนอะ ก็อยากให้คนฟังได้เจอเพลงหน้า B ที่อยากกลับมาฟังทั้งอัลบั้มใหม่อีกครั้ง
โอ๊ต: ของผมเปลี่ยนเป็นอยากให้เพลงไปดังใน Tiktok ดีกว่า ฝากชาวติ๊กต็อกเกอร์ด้วยนะครับ เพลงไหนก็ได้ แดนซ์ ๆ
โซ่: ฝากคิดท่าเต้นให้เพลงของพวกเราด้วยนะครับ ถ้ามีท่าเต้นแล้วเดี๋ยวพวกเราจะเต้นตาม ถ้ามันเอาเพลงไหนไปเต้นได้นี่ไหว้เลย XXXXX เต้นไงวะ
‘VVAS / Eyesore Concert’ คอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มที่จะหยิบทั้ง 13 เพลงในอัลบั้ม Eyesore มาให้ทุกคนได้โยกหัวกัน เจอกันวันที่ 8 มีนาคม บัตรราคา 300 บาท ที่ Blueprint Livehouse สาย post-punk ไม่ควรพลาด ซื้อบัตรได้ที่ https://bit.ly/4bClkVq
และติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหวและเพลงใหม่ ๆ จาก VVAS ได้ที่ Facebook และ Instagram
ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา