‘Another Half’ อีกด้านของ Soft Pine ที่เราอาจไม่ค่อยคุ้น ฉีกซาวด์นุ่มสู่ความสนุกที่มากขึ้น

by Montipa Virojpan
2.3K views
soft pine another half

ใครหลายคนอาจคุ้นเคยกับซาวด์ฟังสบายในเพลงนุ่ม ๆ ของ Soft Pine ตั้งแต่อัลบั้ม ‘Major 13th, Love, Snake Plant’ (2019), ‘random day, yeh’ (2020) และ ‘Brainwreck’ (2022) แต่พอได้มาฟังเพลงจากอัลบั้มใหม่ ‘Another Half’ อาจจะรู้สึกแปลกไปบ้างกับจังหวะจะโคนและลูกเล่นสีสันดนตรีที่มากขึ้น ถึงแม้เราจะสนิทสนมกันอยู่แล้วประมาณนึงกับพวกเขา แต่ความสนุกน่าตื่นเต้นของซาวด์ในชุดนี้นี่แหละที่ทำให้เราต้องชวนวงอินดี้ป๊อป(ร็อก?)สี่ชิ้นมาพูดคุยกันให้มากขึ้น ว่าพวกเขาได้แรงบันดาลใจหรืออิทธิพลอะไรเบื้องหลังมาบ้าง

Soft Pine

ฟัง ‘Another Half’ จาก Soft Pine ได้ ที่นี่

ทำอัลบั้มเสร็จกันตอนไหน

เอ๊กซ์: ตอนเราไปญี่ปุ่นกลับมาไฟลุกมาก เริ่มทำอัลบั้ม ‘Another Half’ ทันทีหลังจากกลับมาเมื่อตอนกุมภา ปักหมุดหมายว่าอัลบั้มใหม่ต้องกลางปีนี้เลย เราใช้เวลาทำกันเร็วมาก แต่งเพลง รวมอัด มิกซ์ ประมาณ 3-4 เดือน

ที่ทำเพลงออกมาได้เยอะ ๆ นี่เพราะได้แรงบันดาลใจจาก King Gizzard and the Lizard Wizard รึเปล่า

เอ๊กซ์: อันนั้นเป็นโจ๊กเฉย ๆ เหมือนความรู้สึกกับเอเนอร์จี้ในปีนี้ของเรามันเปลี่ยนไปด้วย ตอนอัลบั้ม ‘Brainwreck’ เคยให้สัมภาษณ์ไปแหละว่าเรา burnout มันดาวน์ มันก็ไม่มีแรงจะแต่งเพลงอยู่แล้ว ช้าตามปกติ ตามสภาพ แต่รอบนี้มันมีไฟ มันก็เลยเร็ว พอของมันมามันก็ออกมาเลย บวกกับว่าตอนทำอัลบั้ม ‘Major 13th, Love, Snake Plant’ กับ ‘Brainwreck’ ใช้เวลาแต่งเพลงแรกกับเพลงสุดท้ายห่างกันมาก ห่างกันเกินไป จนรู้สึกว่าแต่ไอเดียแต่ละเพลงมันต่าง เหมือนมันฟังออกว่าไม่ได้ไปทางเดียวกันขนาดนั้น เรารู้สึกว่าเพลงเดียวมันไม่สามารถถ่ายทอดตัวตน ณ ขณะนั้นได้ มันจะชัดกว่าถ้าออกมาเป็นอัลบั้ม ก็เลยเริ่มคิดให้มันออกมาเป็นทั้งก้อน

เราทำอัลบั้มก็อยากให้เพลงมันออกมาเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่เอาแทร็คมาต่อกันให้ครบ 10 เพลง ซึ่งในอัลบั้มก็จะมีแต่ละแทร็คที่พูดถึงหลาย ๆ ประเด็นที่แตกออกมาจากเรื่องเดียวกัน จริง ๆ เราก็โตมากับการฟังเพลงเป็นอัลบั้มด้วย แล้วเราก็ชอบการทำงานแบบเป็นอัลบั้มมากกว่า เพราะเหมือนได้รวบรวมเอาประสบการณ์เรื่องราวในช่วงเวลานึงออกมา จริง ๆ การแต่งเพลงของ Soft Pine มันเกิดจากประสบการณ์ที่เจออะไรมาช่วงนั้นก็พูดเรื่องนั้น คิดอะไรได้ก็พูดเรื่องนั้น ‘Another Half’ ชื่ออัลบั้มแปลไทยมันก็คือ อีกครึ่งนึง 

แล้วครึ่งแรกอยู่ไหน 

ไวกิ้ง: ก็เป็นครึ่งที่เราพบเจอมาในช่วงชีวิตนึง ที่เรามีอยู่แล้ว 

เอ็กซ์: แต่มันยังไม่เต็ม ยังขาดอะไรอยู่ ซึ่งอีกครึ่งนึงก็เป็นเรื่องที่เราเพิ่งตระหนักรู้ได้ในช่วงนี้ เช่น เพลง ‘I Thought I Could Be Alone’ ที่ผ่านมามันก็มีความชิล คิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวได้ ไม่มีใครก็ไม่เป็นไร มีอะไรก็จัดการเองได้ ไม่มีปัญหา แต่พอเราได้เจอแฟน อยู่ด้วยกันสักพัก มันคลิก มันเข้ากันจนรู้สึกว่ามันก็มีอะไรที่เติมเต็มเราได้กว่านี้ ก็รู้สึกว่าเขาเป็น Another Half หรือจะมอง ‘Another Half’ ในเรื่องอะไรก็ได้ เช่นเรื่องการเดินทางของวงที่ทำมากำลังจะเข้าปีที่ 5 ก็อยากเซ็ตว่าเรากำลังจะเข้า Another Half ของการเดินทางอีกบทนึงหรือเปล่า 

จะทำวงแค่ 10 ปีหรอ 

เอ็กซ์: ก็ไม่นะ (หัวเราะ) มันอาจจะเป็นครึ่งนึงของชีวิตหรือเปล่า มันอาจจะเป็นสิ่งของ สัตว์เลี้ยง หรืออะไรก็ตามที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตเรา เหมือนเป็นการตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้น

คนชอบบอกว่า Soft Pine เป็นวงทำเพลง lo-fi แต่อัลบั้มนี้จะไม่ใช่แล้ว

เอ็กซ์: คือเรามีภาพอัลบั้มในหัวค่อนข้างชัดก่อนที่จะเริ่มแต่งเพลงว่าอยากได้เอเนอร์จี้ที่เป็นแบบนี้ แล้วก็ไปทางเดียวกัน รู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วก็รู้สึกว่าคุณภาพซาวด์มันต้องถึง ต้องขับความรู้สึกหรือเอเนอร์จี้นั้นออกมาได้ ชุดนี้เราก็ยังทำงานกับพี่พัด Folk9 เขาก็เหมือนโตมากับวงเหมือนกันนะ ช่วยทำมาตั้งแต่อัลบั้มแรก พอเราพูดไอเดียอัลบั้มนี้เขาก็เก็ต เขารู้ว่าเราต้องการอะไร ก็แนะนำเรื่องการอัดว่าต้องอัดแบบนี้ ด้วยอุปกรณ์อันนี้ ก็แค่หาของมาตอบโจทย์สิ่งที่เราต้องการ ซาวด์มันก็เลย hi-fi หน่อย 

แรงบันดาลใจของซาวด์ที่กระฉับกระเฉงขึ้นเพราะส่วนนึงมาจากที่เราไปปาร์ตี้ด้วย

เอ็กซ์: เวลาไปเที่ยวคลับหรือปาร์ตี้ มันเป็นที่ที่ทุกคนตั้งใจไปสนุกกับเสียงเพลง แล้วก็เอเนอร์จี้ในคลับอะ มันขับเคลื่อนด้วยเบสกับบีต เราก็ต้องการเบสที่เต็มให้มันสื่อสารเอเนอร์จี้นั้นด้วย ชุดนี้ก็จะเน้นเบสมากขึ้น

ไวกิ้ง: ผมรู้สึกว่าเวลาไปคลับบิ้ง หรือฟังเพลงเทคโน เหมือนมันได้ไอเดียเรื่องฟังก์ชันของเพลงมากขึ้น ดนตรีมู้ดแบบนี้ทำให้เรารู้สึกแบบไหนอะไรยังไงได้มากขึ้น ยิ่งไปบ่อยก็รู้สึกมากขึ้นเลยเอาไอเดียมาใส่ในเพลง พอทำเพลงแล้วมันเห็นภาพชัดขึ้นเวลาคุยกันว่ามันเป็นอย่างนี้ตอนเริ่ม แล้วเดี๋ยวเราค่อยให้เพลงมันพาฟีลลิงขึ้นไปอีกไหม จะจบยังไง

เอ็กซ์: คือการอะเรนจ์เราจะมองเรื่องเอเนอร์จี้มาเป็นหลัก ว่าเราต้องไปให้ถึงจุดที่เราต้องการ บางทีมันมีการเปลี่ยนแปลงแต่ละท่อนแค่นิดเดียวแต่เอเนอร์จี้มันต่างกันแล้ว เราได้อะไรพวกนี้มาจากการไปเที่ยว ไปฟังเพลง มันมีเรื่องนี้อยู่ แล้วก็พวกเอเลเมนต์ที่เอามาใส่มันก็มาจากประสบการณ์การฟังเพลง การเล่น การแจมกันของเรา ไม่ได้คิดว่าอัลบั้มนี้ต้องมาแนวนี้ เพราะแต่ละคนก็ฟังกันมาหลากหลาย

ไวกิ้ง: เหมือนต่างคนต่างช่วยกันแชร์ว่าฟังอะไรกันอยู่ เราก็ได้ไอเดียที่ช่วยในการขึ้นเพลง

เอ็กซ์: เราทำเพลงกันไม่ได้มี reference พูดแค่ว่าอยากได้ฟีลลิงประมาณนี้ ขึ้นเดโมมาคร่าว ๆ พอบูมมาตีกลอง มันก็เป็นแบบนี้แหละ บูมอยากใส่ลูกส่ง อยากเปลี่ยนตรงนั้นตรงนี้ ก็เอาเลย 

Track by Track 

Another Half

ไวกิ้ง: ที่คุยกับเอ็กซ์เหมือนพยายามจะเซ็ตโทนของอัลบั้มนี้ด้วยเพลงนี้ เซ็ตธีมหรือคอนเซ็ปต์ที่มันบ่งบอกซาวด์อัลบั้มนี้ เมโลดี้ แล้วก็แจมกัน 

เอ็กซ์: ริฟฟ์กีตาร์นั้นจะได้ยินตลอดทั้งอัลบั้มเลยเพราะมันเป็นธีมหลัก แล้วเราก็จะมี variation ตึ๊ดตึดตึดตึดตื่อดือดื๊อดึด 

I Thought I Could Be Alone 

ไวกิ้ง: เป็นเพลงแรกที่อัด

เอ็กซ์: เป็นเพลงที่เซ็ตซาวด์ของอัลบั้มนี้เลย ตอนแรกอัดกีตาร์ไป ผ่านมาหลายวันกลับมาฟัง โทนมันก็ไม่ถูกต้อง เราก็มานั่งแก้กัน หลังจากนั้นก็ยึดกับซาวด์แบบนี้ไปเลย แล้วก็ใช้เวลาประมาณเกือบ 10 ชั่วโมงในการไมค์กิ้งและหาซาวด์ที่ถูกใจของกลอง 

บูม: อัลบั้มนี้ซาวด์กลองมันจะไม่เหมือนที่ผ่าน ๆ มา จะมีความให้มันเก่า ๆ ดูอุ่น ๆ ขึ้น ซึ่งกลองที่ผมใช้ในอัลบั้มนี้จะเป็นกลองชุดของพี่พัด กลองวินเทจเลย ผมรู้ว่าสึกว่ามันเล่นอะไรได้มาก เหมือนใช้ไมค์ปีไหน จ่อไมค์ยังไง ส่วนตัวรู้สึกว่าอยากให้มันดู 70s ไม่ก็ฟังก์เก่า ๆ ที่ต้องเปิดฟังในลำโพงไม้อะไรแบบนี้ ซึ่งแค่การเลือกไมค์ก็สนุกแล้ว จูนอะไรใหม่ สแนร์ใบใหม่ แต่จริง ๆ ก็คือใบเก๋ากึ๊กของพี่อาร์ม Supergoods จริงจังขนาดใช้ไม้กลองเบอร์ไหนดี ข้างซ้ายไม้เล็ก ข้างขวาไม้ใหญ่ มีผลหมดเลย การตีกระเดื่องต้องเหยียบยังไง ห้ามเหยียบคิกแรก ต้องเหยียบเบาเท่านั้น 

ตอนอัดละเอียดแบบนี้ คิดถึงตอนเล่นสดบ้างหรือเปล่า

เอ็กซ์: คิดกันคนละแบบครับ คือตอนอัดเราก็ทำให้มันได้ซาวด์ในแบบที่เราต้องการ โชคดีที่ทุกคนมีภาพในหัวตรงกัน (ไวกิ้ง: เล่นสดมันไม่ต้องยั้งก็ได้) ใช่ เวลาเล่นสดก็แค่เล่นให้มันสนุก

Another Coast Ride 

เอ๊กซ์: เราคิดว่าอัลบั้มนี้ต้องมีเพลงสนุกประมาณนี้ (ไวกิ้ง: เราคุยกันตั้งแต่เริ่มเนอะ) มันเกี่ยวกับเวลาที่เราไปปาร์ตี้กัน แล้วไม่รู้จักพอ เหมือนมันเป็นโมเมนต์สับสนว่าเราควรพอแล้วหรือจะไปต่อดี พออยากจะพูดเกี่ยวกับประสบการณ์เรื่องนี้เพลงมันก็ควรจะซิ่ง ๆ สนุก ๆ ตอนปล่อยเพลงออกมาเขาเรียกเราว่าเป็น ‘Soft Punk’ เอาไปเล่นสดมารอบนึงสนุก ไม่รู้คนดูสนุกไหมแต่เราสนุก

Afternoon Shroom

เอ๊กซ์: เพลงนี้เกิดขึ้นจากการแจมในห้องอัดเลย ง่าย ๆ เนื้อเพลงก็พูดถึงความสัมพันธ์ที่เราอยู่ด้วยกันมาสักช่วงเวลานึง แล้วเรายังมีความรู้สึกสดใหม่ ทำให้เรานึกถึงวันที่เริ่มรู้จัก เริ่มคุยกัน มันยังเหมือนวันแรกเลย แล้วก็หวังว่าวันที่เหลือจะเป็นอย่างนี้ต่อไป

ไวกิ้ง: จริง ๆ เนื้อหาเพลงรักทั้งนั้นเลยนะเนี่ย แค่ไม่ได้พูดตรง ๆ 

เอ๊กซ์: เออ แต่ละคนก็เหมือนมีความกล้าที่จะเปิดใจคุยกันมากขึ้นว่าเนื้อเพลงเพลงนี้เราพูดถึงอันนี้นะ ทั้งที่ควรจะเขิน แต่ก็ดีที่กล้าพูดกันมากขึ้นเพื่อที่จะได้สื่อสารให้เข้าใจเนื้อหา จะได้ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านซาวด์ได้ดีขึ้นด้วย (ไวกิ้ง: ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเขิน จั๊กจี้) เขินแบบไม่กล้าจะเอามาแต่งเพลงด้วยซ้ำ แต่อย่างเพลง ‘Afternoon Shroom’ หาคำยากมากเลยนะที่มันไม่ให้เลี่ยนเกิน คนทำได้โคตรเก่ง ผมทำไม่ได้เลยมาเวย์นี้ ประมาณนี้พอ 

Skinky 

ไวกิ้ง: จริง ๆ เพลงนี้ reference กลองจากเพลงอิเล็กทรอนิกนิดนึงนะ มันสนุก เหมือนอยากมีเพลงสนุก ๆ ในอีกมู้ดนึงที่ไม่ได้ซิ่งแบบ ‘Another Coast Ride’ จริง ๆ พอแต่งเดโม่ออกมาแล้วเหมือนฟีลลิ่งมันมีคำผุดขึ้นมาในหัวว่า ‘Skinky’ เหมือนเป็นความรู้สึกที่ได้จากการฟังเพลงนี้

เอ็กซ์: เหมือนมันเป็นคนที่คิดคำอะไรขึ้นมาแล้วเข้าใจอยู่คนเดียว พูดกับตัวเอง เหมือนจะไม่มีความหมายอะ เพราะถ้ามันมีความหมายมันคงเลือกคำที่ให้ความหมายนั้นไปแล้ว

ไวกิ้ง: ผมชอบคิดคำขึ้นมา อย่างอันนี้มันเหมือนจั๊กจี้อยู่ในหัว ขี้เล่น อะไรประมาณนั้น

บูม: เพลงนี้คือตอนที่ผมฟังเดโม่มาจากไวกิ้ง ฟังไปรอบนึงก็รู้สึกว่ามันแดนซ์อ่อน ๆ ดี เพลงมันดูเต้นแค่ครึ่งบน (เอ๊กซ์: เต้นแค่ไหล่) ยืนเฉย ๆ บิดเอวไปซ้ายขวา แล้วถ้าเกิดฟังในช่วงกลางเพลง ที่จะเป็นโซโล่ครึ่งหลัง จริง ๆ แล้วเหมือนกรูฟมันจะไม่ได้เต้นขนาดนี้ แต่ผมก็ใส่กระเดื่องเข้าไป เป็นฟีลตึก โต๊ะ ตึก ๆ ให้มันยิ่งเต้นเข้าไปอีก จากเต้นอ่อน ๆ ตอนนี้ก็เริ่มขยับขา เต้นไปเรื่อย ๆ ช่วงกลาง ๆ กลองมันจะเร้าขึ้นหน่อย ๆ ในความกระเดื่อง ดูโจ๊ะ ๆ ดี 

เอ็กซ์: คือท่าเต้นที่บูมนึกถึงคือท่าเดียวกับในเรื่อง Pulp Fiction เลย สำหรับผมเพลงนี้มันมีความกระเพื่อม ริฟฟ์เบสกับไลน์หลักกลองอะ แล้วก็ท่อนโซโล่ตรงกลางไม่มีอะไรแค่อยากกระชากฟีลลิงขึ้นไปเลย ตอนจบก็พาลงแบบเลื้อย ๆ เป็นเพลงเดียวที่ไวกิ้งแต่งเนื้อ

ไวกิ้ง: ก็เป็นเพลงรักแหละครับ เวลามีความสุขกับคนรัก ในหัวมันจั๊กจี้ ‘Skinky’ เหมือนเวลายืนเต้นกับแฟน แต่เพลงนี้วาดภาพชัดเลย ไล่บิลด์มู้ดกันละเอียดมาก (เอ็กซ์: เรื่องภาพชัด ไม่จริงเลย) (หัวเราะ) เหมือนมันมาชัดตอนมึงช่วยตบให้ไง ตอนเดโม่ผมขึ้นมามั่วมาก

เอ็กซ์: เสริมว่าอัลบั้มนี้ประมาณ 90% ไวกิ้งเป็นคนขึ้นเดโม่มา แต่ว่าขึ้นมาไม่เคยจบเลย มักจะขาด ไม่เกิน ผมต้องมาคอยเกลี่ย คอยเรียบเรียง ตัดนี่ เพิ่มนั่น 

บูม: ขอเสริมหน่อย แล้วเพลงไหนที่กิ้งเดโม่มาก กลองจะยากเป็นพิเศษเลย คือแบบ ไอ้เหี้ย… เวลาเล่นสดมันจะตียังไงวะ (เอ็กซ์: แบบคนแต่งไม่ได้ตีอะ) เออ มือกลองมีสองมือสองเท้าอะ มนุษย์ตีไม่ได้ (หัวเราะ)

ไวกิ้ง: แต่บูมเก่งครับ ทำให้มันเกิดขึ้นได้

XTC of Yesterday 

เอ็กซ์: อันนี้ผมขึ้น ก็ไหล ๆ มา หมายถึงความสุขของเมื่อวาน เนื้อเพลงมันแบบ ถ้าเราสามารถแสร้งว่าเราไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ไม่ต้องมาคอยฟังใครบ่นเวลาอะไรต่าง ๆ เปลี่ยนไป เพราะทุกสิ่งมันเปลี่ยนไปอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งบางทีมันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้ที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ไม่ต้องมีโทษกู มึงจะบ่นอะไรนักหนา แต่ว่าร้องออกมาดนตรีในทางสนุก ตลกร้าย ไม่ได้เศร้าหรือเครียด 

ไวกิ้ง: เป็นภาพในหัวที่อยากลองมานานแล้ว เราไม่ค่อยมีเพลงที่กลองตีเป็นชัฟเฟิลเท่าไหร่ น่าสนุกดี

เอ็กซ์: ก็จัดเลย เหมือนท่อนโซโล่ก็มีโน้ตแบบเล่นประสานกัน ก็รู้สึกว่าโน้ตกัดหลอนดี มันทริป 

Higher State of Mind

เอ็กซ์: เหมือนเพลงที่เราเริ่มตระหนักรู้บางสิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็กลายมาเป็นชื่อเพลงนี้ ที่เขาบอกว่าคนกินเห็ด สูบกัญชา เมาได้ที่ก็จะเริ่มคุยปรัชญาเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง เราไม่ได้จะมาพูดว่าเราได้อะไรหรือเราคิดอะไรจากสิ่งนั้นนะ เหมือนเป็นบรรยากาศ เป็น background music มากกว่าสำหรับเพลงนี้

Baby Gotta Go

เอ็กซ์: มิวสิกวิดิโอก็ได้พี่สาวแท้ ๆ ของไวกิ้งมาทำให้ shout out to เจ้พิงค์ เพลงนี้เริ่มจากผมเอาไลน์เบสของเพลง ‘Afternoon Shroom’ มา reverse เอาโน้ตท้ายสุดมาไว้หน้าสุด เล่นกลับหลังกัน เลยได้มาเป็นโมทิฟหลักของเพลงนี้ แล้วเราก็แต่งให้มันจบ เนื้อเพลงก็ไหลมาเอง นึกถึงช่วงที่ใช้เวลากับแฟนว่าใกล้จะหมดแล้ว วันนี้เราก็ต้องแยกกันละน้า ไว้กลับมาเจอกันใหม่

Pop Shit 

เอ็กซ์: เป็นเพลงที่เหมือนเราซื่อสัตย์กับความต้องการ ความรู้สึกของเรา ว่าวัยนี้เราอยากทำอะไร จะเชื่อคำคนอื่นดีไหมหรือจะทำตามที่เราอยากทำจริง ๆ ชื่อเพลงฟีลมันดูไม่สนใจอะไรดี เป็นตลกร้าย อยากทำตามความต้องการตัวเองตอนนี้ ถามว่าเป็นเรื่องผิดไหมถ้ายังไม่อยากคิดเรื่องอนาคต แต่บูมชอบเพลงนี้มาก เพราะซาวด์คิกมันใหญ่ที่สุดใช่ปะ

บูม: ผมชอบท่อนเพอร์คัสชัน โคตรเด็ด อย่างดี

เอ็กซ์: จริง ๆ มันเป็นท่อนที่ต้องโซโล่ แต่ผมไม่อยากโซโล่แล้ว มีเยอะแล้ว เอาเป็นเพอร์คัสชันละกัน ลองดู แล้วก็อยากลองอัดเพอร์คัชชันให้รู้สึกว่ามีคนมาเขย่าตรงหน้า ข้างหู ชอบ 

Another Half (Reprise) 

เอ็กซ์: เหมือนเป็นเพลงพาลง end credit ขึ้น เอาริฟฟ์หลักของอัลบั้มมาเล่นในอีกแบบ โชว์ความกรูฟ เป็นเพลงปิดท้าย เพลงนี้คือ… ถ้าใครฟังอัลบั้มนี้แล้วทักว่ากีตาร์ย้วย ซาวด์ย้วย ผมว่าไม่ใช่ละ เพลงนี้ไม่มีเอฟเฟกต์อะไรเลย กีตาร์คลีนจริง มันต่อ DI แค่นั้นเลย ไม่ได้ใช้ตู้แอมป์สักตู้เลยชุดนี้ ต้อง shout out to DI ของ Countryman กับ Yamaha Mixer ปี 80 

หลังจากนี้ Soft Pine จะเป็นวงที่ไม่มีค่ายแล้ว

เอ็กซ์: อิสระเต็มตัว ไม่มี Sundae Records แล้ว ถึงเวลาแยกย้ายเดินตามเส้นทางของแต่ละคน แค่มันถึงวัย ถึงจังหวะที่ตัดสินใจต้องแยกย้าย 

เป้าหมายต่อไปหลังจากปล่อยอัลบั้ม

เอ็กซ์: ก็อยากให้ Soft Pine เป็นวงที่ทำเพลงได้เรื่อย ๆ ไปเล่นกันได้เรื่อย ๆ โดยที่เรามีความสุขกับมัน ได้ไปเล่นที่นู่นที่นี่ต่างประเทศก็เป็นประสบการณ์ที่ดีที่เราได้ไปเล่นที่อื่น ๆ ได้เดินทาง ใช้เวลาในทัวร์ร่วมกันกับเพื่อน ๆ ในวงร่วมกัน เป็นความรู้สึกที่ผมชอบ 

ไปทัวร์ญี่ปุ่นมาเป็นยังไงบ้าง

เอ๊กซ์: ไปเล่นมาสามที่ มีโตเกียว กับโอกินาว่าอีกสองที่ เป็นการทัวร์ต่างประเทศครั้งแรกของ Soft Pine ซึ่งก็ดีครับ เป็นความรู้สึกเหลือเชื่อนิดนึงว่าพอไปถึงโตเกียวแล้วมีคนรู้จักเรา ฟังเพลงเรา ซื้อบัตรมารอดูเราจริง ๆ

ไปได้ยังไง 

เอ๊กซ์: เราเริ่มจากสมัครไปที่ Music Lane Okinawa ซึ่งเป็นโชว์เคส แล้วพอมีสารตั้งต้นเป็นงานนี้ โชว์อื่นก็งอกมา เหมือนพอผู้จัด Music Lane เขาเห็นชื่อวงเรา เขาก็คอนเน็กกันไปเรื่อย ๆ อย่างจินซังรู้จักกับใครก็ผลักดันให้เรามีที่เล่นเรื่อย ๆ ก็ต้องขอบคุณจินซังมาก ๆ รอบถัดไปเขาก็เพิ่งเปิดรับสมัครนะ ใครอยากลองไปก็สมัครได้

งานนี้ได้ข่าวว่าทุบหม้อข้าวไปกันเลย

เอ๊กซ์: มันอยู่ในโกลของพวกเราอยู่แล้วด้วยที่อยากจะไปเล่นต่างประเทศ ก็เก็บเงินจากที่ขาย merchandise ได้ตั้งแต่แรกมาตลอด พอโอกาสมันมาเราก็จัดไปครับ ทุบหม้อข้าวไป

ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไหม

เอ๊กซ์: ต้องถามว่าคุ้มค่าในด้านไหน ถ้ามองเรื่องเงินมันก็ไม่อยู่แล้ว ผมมองว่ามันคุ้มประสบการณ์ เป็นสเต็ปเล็ก ๆ ในภาพใหญ่ที่เราตั้งเป้าไว้

ที่ไปเล่นมาชอบเมืองไหนสุด

เอ๊กซ์: ก็ที่โตเกียวครับ แต่คนดูต่างกับที่ไทยมาก คัลเจอร์ช็อกเลยบนเวที สมมติว่าเราจบเพลง มันต้องเฮแล้วปะ นี่เขายืนนิ่ง (ไวกิ้ง: เขาตั้งใจดูเรามาก ๆ เหมือนกำลังดูหนังอยู่) เขาจ้องมาที่เวทีเลย ทุกอย่างเงียบมาก แล้วเราก็เล่นวงสุดท้ายด้วย แต่ถ้าไม่แฮปปี้เขาคงไม่อยู่ดูจนจบหรอกเนาะ มีอังกอร์ด้วย การขออังกอร์เขาคือตบมือเป็นจังหวะ เราก็แบบ… อ๋อ อันนี้คืออังกอร์สินะ แต่พอเล่นเสร็จก็ได้คุยทักทาย ก็รู้ว่าทุกคนก็แฮปปี้นี่หว่า 

อนาคตจะไปเล่นที่ไหนต่ออีกไหม

เอ๊กซ์: มีที่ชิบุย่าเพิ่งคอนเฟิร์มไป เป็นเฟสติวัล Bikn Shibuya เขาเพิ่งประกาศไลน์อัพเฟสแรกไป ตอนที่เราไปเล่นเมื่อต้นปีเป็นเซ็ตอัลบั้ม ‘Brainwreck’ แต่อันนี้จะเป็นอัลบั้ม ‘Another Half’ แล้ว ถ้าใครอยากฟัง Another Half ให้ไปดูที่ญี่ปุ่นครับ (หัวเราะ) ล้อเล่น มีงานเรื่อย ๆ แล้วก็ที่ Maho Rasop สิ้นปี

ตอนไปทัวร์มามีอะไรพีค ๆ บ้าง

เอ็กซ์: เราลงเครื่องแล้วมีคนมาสัมภาษณ์ เราเดินทางหลายชั่วโมงมาก นอนไม่หลับบนเครื่อง หิวข้าวมาก แล้วความที่ขนส่งสาธารณะญี่ปุ่นมันหลายอย่าง ไปถึงก็ช็อก งงไปหมด แล้วหนาวมาก ก็พยายามตั้งสติ สูบบุหรี่ เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมลุยต่อหารถไฟไปใจกลางเมือง ก็มีทีมงานสื่อถือกล้องกับไมค์มาขอสัมภาษณ์เรา เราแบบ สัมไรวะ ก็โอเค ๆ ได้ เขาก็ถามว่าเรามาทำอะไรที่ญี่ปุ่น เราก็บอกมาเล่นดนตรี เขาก็ถามว่าแบนโดะ? เป็นวงหรอ เราก็บอกเออ มาเล่นครั้งแรกที่นี่ เขาก็ถามชื่อวง มีอะไรมาขายไหม ผลงานของวงมีติดตามได้ทางไหน เราก็ขายสตรีมมิง ขายคาสเซ็ตเทป แล้วเขาก็ตื่นเต้นมากว่ายุคนี้ยังมีคนฟังเพลงผ่านเทปอยู่หรอ ผมก็ไม่รู้แต่ผมทำขาย เราก็ไม่รู้จักรายการเขา ก็ให้สัมภาษณ์ไปตามที่หลายคนอาจจะเห็นมาบ้างแล้ว ตอนหลังเรามาถามเพื่อน เขาบอกว่ารายการนี้ดังมาก ออนแอร์ในทีวีทั่วประเทศ เราแบบ หรอ ถ้ามันดังขนาดนั้นคงไม่เอาเราไปลงมั้ง สรุปว่าเขาออกอากาศ ตื่นเช้ามาวันนึงมีคนแท็กในทวิตเตอร์ แล้วตอนหลังจินซังก็บอกเขาโทรไปถาม live house แต่ละที่ที่เราจะไปเล่นเลย ว่าเรามีจริง ๆ ไหม ดูเป็นเรื่องเป็นราว 

กำลังจะได้เล่น Maho Rasop รู้สึกยังไงบ้าง

ไวกิ้ง: ตื่นเต้นมากครับ ดีใจมาก

บูม: รู้สึกอยากแก้ตัวครับ ครั้งที่แล้วมันไปหน่อย 

เอ็กซ์: อันนี้ก็พีค ไปมหรสพเกือบทุกปี อยากดู King Gizzard amd the Lizard Wizard นี่ก็รอดูทุกวงเลย แล้วปรากฏ เมาหลับ ปีที่คนร่วงเยอะ ๆ อะ เหมือนบูมจะเป็นคนแรกในเต๊นท์พยาบาล ที่บุรุษพยาบาลพี่ ๆ เขามาช่วยกันเข็นรถเข็นหามไป แล้วผมกับกิ้งก็พยายามไปปลุกบูม แบบ KGLW จะเล่นแล้ว มันไม่ตื่นจริงพี่ น้ำตาจะไหล จากที่เป็นคนนอนเต๊นท์พยาบาล ปีนี้บูมจะเป็นคนเล่นแล้ว แก้ตัว 

ปีนี้อยากดูใครบ้าง

แอม: อยากดู Alex G 

ไวกิ้ง: อยากดู Ottoboke Beaver, IDLES, The Yers

เอ็กซ์: ถ้าในแง่การโชว์ผมอยากดู Squid สุด ตัวเพลงมันน่าสนใจ มีเอเลเมนต์เยอะ อยากรู้ว่าได้ยินเล่นสด ๆ ความรู้สึกจะเป็นยังไง แล้วก็ที่เฝ้าดู Homeshake งานเขาไม่ค่อยเล่นเฟสติวัล อยากรู้ว่าบรรยากาศจะเป็นยังไง  เขาเป็นพ่อยก ป๋าดันวงเราด้วย เหมือนได้รียูเนียน อยากดู Ford Trio แล้วผมเคยไปเฟสติวัลที่ Interpol เป็น headliner แต่ไม่ได้ดู เลือกดูอีกวง รอบนี้จะได้ดูละ

ฝากผลงาน 

ไวกิ้ง: ฝากอัลบั้มของพวกเราด้วยครับ ปล่อยออกมาแล้ว ฟังไปอ่านไปก็ได้ครับ เป็นอัลบั้มที่รู้สึกดีมากๆ  

เอ็กซ์: ฝากอัลบั้ม ‘Another Half’ ด้วยครับ รู้สึกว่าถึงแม้มันจะฉีกจากอัลบั้มที่ผ่านมาเยอะ แต่หวังว่าทุกคนจะชอบ มันใหม่สำหรับพวกเราก็อยากจะนำเสนอให้ทุกคนได้ลองฟังครับ เพราะเราชอบมันมาก ๆ ครับ รู้สึกว่าถูกต้องในทุกกระบวนการที่เราทำเลย 

ฟัง ‘Another Half’ จาก Soft Pine ได้ ที่นี่

+ posts

อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy