หลังจากเปิดตัวลีดซิงเกิลและเดบิวต์โชว์ร่วมกับวงร็อกรุ่นพี่ไปอย่างระเบิดระเบ้อเมื่อต้นเดือนสิงหาคม วงดนตรี 3 ชิ้นนาม SALAD จากค่าย Jafar Records ก็กลับมาปล่อยผลงาน ‘Beach Music’ ที่คลุกเคล้าส่วนผสมของร็อกมิวสิคได้อย่างเอร็ดอร่อย ด้วยคอนเซปต์เพลงในสไตล์ “Love songs in a key of doom” ที่ส่งผ่านซาวด์ยุค 90s ถึง 2010s ให้ผู้ฟังได้สัมผัสถึงความอบอุ่นแต่เลือนรางบนม่านหมอกสีเทา
พาร์ทดนตรีใน ‘Beach Music’ ยังประกอบไปด้วยกรันจ์ แอมเบียนต์ ชูเกส อัลเทอร์เนทีฟร็อก และกลิ่นอายดูมเมทัลบาง ๆ ที่พาเราข้ามฟากไปยืนปรากฎตัวอยู่ที่ริมชายหาดคล้ายบรรยากาศแบบในหนัง Andrei Tarkovsky หรือรสชาติที่ชวนนึกถึงผลงานของ Brian Eno ในอัลบั้ม ‘Music for Airports’ กระทั่งซาวด์แบบวง Duster และ My Bloody Valentine ว่าแล้วก็ลองไปฟังเพลงในอัลบั้มพร้อมกันเลย
A Wooden Bar
เริ่มบรรเลงผ่านกีตาร์หม่น ๆ หนึ่งตัวในสไตล์ Slowcore ด้วยแพทเทิร์นเรียบง่ายสไตล์มินิมอล ที่ถัดจากท่อนแอมเบียนต์และเสียงแบ็คกราวนด์คนพูดคุยกันในช่วงต้น โดยแอบแทรกซิงเกิลโน๊ตของเบสและจังหวะกลองมาร์ชชิ่งเล็กน้อย เป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ภวังค์ที่เชื้อชวนเราให้นั่งไทม์แมชชีนเพื่อย้อนกลับไปค้นหาเศษเสี้ยวความทรงจำ
Tangerine Dream
แค่ไดนามิกดนตรีในสองช่วงแรกของเพลงก็สะกดคนฟังได้อย่างอยู่หมัด สำหรับคอชูเกสที่ถูกชะตากับเมโลดี้เนิบ ๆ ฟิลย้อนยุคแต่ซุกซ่อนดีเทลไว้มากมาย ต้องชอบการละเลียดกีตาร์คู่ไลน์ร้องฟุ้งฝันที่กระแทกกระทั้นด้วยกำแพงเสียง เบสทุ้ม ๆ และท่อนสาดฉาบกลองอย่างแน่นอน เป็นแทร็กที่เราชื่นชอบจนเปิดฟังบ่อยมาก ๆ
Fruity Love
อีกหนึ่งบทเพลงที่อธิบายความเป็น Doom music for broken heart people หรือเพลงรักต่างมุมมองของวงได้ดี ทั้งโครงสร้างทางดนตรีที่แผดเผาเราอย่างช้า ๆ รวมถึงการนวดริทึ่มเบสและกลองบนเมโลดี้สุดหนักหน่วงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์เซื่องซึมและความขมุกขมัวของชั้นบรรยากาศ กับท่อนเบรคดาวน์ที่ซัดไลน์กีตาร์พร้อมการสอดประสานเลเยอร์ในช่วงท้ายที่ทำเอาตายไม่แพ้กัน
The Ferris Wheel
แวะเคาะกลองส่งสัญญาณในจังหวะช้าถึงกลาง ก่อนพวกเขาจะเริ่มไต่ระดับความพีคขึ้น ผ่านแทร็กกลิ่นอายกรันจ์แตกพร่า สลับการประดับด้วยซาวด์เอฟเฟกต์พอหวือหวาระหว่างท่อนดรอปและท่อนบิลด์ดนตรีที่ให้ความรู้สึกวนเวียน ไม่อาจหลีกหนีจากความเป็นจริง ซึ่งจับกับเสียงสังเคราะห์ประหลาด ๆ คล้ายคลื่นไฟฟ้าสถิตในเอาท์โทรไว้แบบหลุดล่องสุด ๆ
Too Good to Be True
ปิดท้ายด้วยการกลับมาบรรเลงอะคูสติกกีตาร์ฟังสบาย ประกอบเบสกลองนุ่ม ๆ พร้อมเสียงร้องปนกระซิบอันอ่อนโยนของจินและคอรัสสุดหวานละมุนจาก ฟ่ง-ฑิตยา พิภพพรชัย (VINI) ที่คลอเสียงสไลด์กีตาร์ lap steel ของแฮม-ฐาณิศร์ สินธารัตนะ (Kopycat, H1F4) ได้อย่างกลมกล่อม แถมยังโอบกอดเราผ่านเนื้อหาที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอนะ
และในระยะเวลาเพียงหนึ่งนาทีครึ่ง เหล่าผู้ฟังรวมถึงเราเองก็อาจรู้สึกว่าเพลงนี้ช่างสั้นเหลือเกิน ทว่ากลับเป็นความตั้งใจของวง SALAD ที่อยากนำเสนอด้วยการส่งดนตรีและบรรยากาศที่ค่อย ๆ ฉายภาพพระอาทิตย์ตกดิน ราวกับเรื่องราวตรงหน้าหรือช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังลับสายตาไปเหมือนฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง คล้ายสีสันของท้องฟ้าที่สามารถเปลี่ยนไปในพริบตาเดียวหากไม่เก็บเกี่ยวโมเมนต์นั้นไว้ให้ดี
ติดตามข่าวสารของวง Salad ได้ที่ Facebook และ Instagram
อ่านต่อ ‘First Two Pages of Frankenstein’ อัลบั้มที่ 9 จาก The National ที่คอยบอกว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้
แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist