‘LET THEM KIDS SEE’ อัลบั้มที่ FORD TRIO ตั้งใจทำให้เด็กมันดู

by Montipa Virojpan
1.3K views
LET THEM KIDS SEE

‘LET THEM KIDS SEE’ Season 1

ความเดิมตอนที่แล้ว

หลังจากเดินทางรอนแรมมานานหลายปี มีไฟบ้าง ท้อบ้าง ตามประสาวงจากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปะคณะดนตรีที่ใคร ๆ ต่างก็มีฝันอยากทำเพลง FORD TRIO วงคอไก่สามชิ้นปล่อยอัลบั้ม self-titled ชุดแรกออกมาเมื่อปี 2020 แม้ดนตรีจะน่าสนใจและแตกต่างจากหลากวงร่วมรุ่น แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจทำเอาพวกเขาเริ่มตัดพ้อต่อโชคชะตา 

จนมีวันนึง ขณะที่พวกเขากำลังแสดงสดที่เทศกาลดนตรีงานหนึ่ง เพลงของพวกเขาก็ได้ไปเข้าหูเข้าตาค่าย Crazy Mondae และชวนกันมาปลุกปั้นไอเดียสุดพิลึกพิลั่นลงในงานดนตรี มี EP ‘OUCH!’ ออกมาระบายความอัดอั้นในอดีต และได้โอกาสฝึกซ้อมตั้งต้นกันใหม่จนกลายมาเป็นยอดฝีมือ และแม้จะเข้าขั้นเซียนแล้ว แต่ ฝอด หมอ และเจมส์ ก็ไม่เคยหยุดที่จะทดลองเสาะหาสิ่งใหม่ ๆ มาก่อร่างสร้างงานอยู่เสมอเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็กลายมาเป็นอัลบั้มชุดที่ 2 ‘LET THEM KIDS SEE’ ที่ปล่อยมาให้เราได้ฟังกันเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา

FORD TRIO – LET THEM KIDS SEE

Prologue

ในงานชุดนี้ FORD TRIO ตั้งใจจะ ‘LET THEM KIDS SEE’ หรือแปลได้ว่า ‘ทำ/เล่นให้เด็กมันดู’ พวกเขาตั้งใจนำเสนอความผยองของคนมีวิชาอย่าง ‘ครูไก่แก้บ’ หรือ ‘ครูก๋ายไก่’ บุคลากรในสถาบันดนตรีมีชื่อที่ตัวเป็นคน หัวเป็นไก่ หัวใจเป็นของดนตรี ความที่รักในการโก่งคอขันและมีลีลาการโยกคอไปกับเพลงฟังก์แบบเฉพาะตัว เขาเลยเข้ามาเป็นสมาชิกวงอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ทันที่ครูไก่แก้บจะได้ถ่ายทอดวิชาที่ร่ำเรียนโอเปร่ามาจากเบิร์คลีย์ให้กับมวลมนุษยชาติ เขาก็สิ้นใจเพราะพ่ายแพ้ในศึกไก่ชนชิงแชมป์ประจำตำบลเสียก่อน FORD TRIO จึงตั้งใจทำอัลบั้มนี้เพื่ออุทิศให้กับเขา ด้วยการเอาดนตรีโซล ฟังก์ แบบที่คุ้นเคยกันในงานที่ผ่าน ๆ มาของวง มาผนวกเข้ากับความม่วนอีหลีแบบไทย ๆ โดยเชื่อว่าเพลงแบบนี้จะเสกให้แดนซ์ฟลอร์และดิสโก้บอลกลายเป็นหน่าฮ่านกับบั้งไฟได้ในพริบตา โดยมี Varis มารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์คอยยุให้วงทำเพลงซิ่ง ๆ อีกแรง เพลงแบบนี้แหละที่ครูไก่แก้บได้ยินแล้วจะต้องโยกคอตามอย่างแน่นอน 

ครูไก่แก้บ aka ครูก๋ายไก่

Episode 1: PRAB ZIEN 

ตอนแรกก็ว่าทำไมเสียงคุ้น ๆ อ่อมันเป็นเสียงของผู้เขียนตอนที่จัดรายการ Every Week Eargasm แล้วได้พูดถึงเพลงของ FORD TRIO น่ะ เบสหนึบหนับกับกลองเพลิน ๆ พร้อมด้วยกีตาร์ละมุนที่แอบแทรกเมโลดี้แบบเพลงหนังจีนกำลังภายใน เนื้อร้องราวกับว่าเราได้เข้าสำนักจะได้ชิงความเป็นเจ้ายุทธจักร ก็จะซิ่งเป็นบ้ากันต่อในท่อนเซิร์ฟร็อกประหนึ่งธีม ‘Hawaii Five-O’ ของ The Ventures แล้วกลับมาผ่อนคลายในทำนองหลักกันอีกครั้ง ใครจะไปกล้ายุ่งกับเหล่าเซียนอย่างพวกท่านกันล่ะ

Episode 2: 1-100

ขึ้นมาด้วยกีตาร์ฟังก์ก่อนเข้าท่อนเบสบรรเลงทำนองเท่ ๆ ติดหู แถมเพลงนี้ก็มีท่อนที่ต้องร้องตามอย่าง ตะแหน่แนแน้แน้แนแหน่แนว แต่เนื้อเพลงนี่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เป็นฟีลประมาณว่า ‘ทำเท่าไหร่ก็ไม่ดีพอ งั้นพี่ว่าไง ผมก็ว่าดี เอาที่พี่ชอบละกัน’ ความน่าหงุดหงิดมันช่างขัดกับบรรยากาศสุดเรโทรในเพลงนี้ที่ชวนดีดดิ้นสุด ๆ เพราะทำเอาเรานึกถึงเพลง ‘A-Ba-Ni-Bi’ แต่ท่อนโซโล่ก็โชว์ลีลากีตาร์ฉวัดเฉวียดชวนหัว ตัดเข้าท่อนดิสโก้และนำไปสู่พรีฮุกกันอีกสักสองรอบ และเซิ้งกันต่อจนจบเพลง

Episode 3: DUBRA

น่าจะเป็นการสลับตำแหน่งของตัวอักษรในชื่อเพลงถัดไป ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการอัดเสียงท่อนไหนเข้ารีลเทปแล้วเล่นรีเวิร์สกับซ้อนเลเยอร์ทำให้มันยืดยาน ฟังพักหูกันก่อนเข้าเพลงต่อไป

Episode 4: RADUB

ต่อนยอนกันมาเลยในเพลงที่สี่ มีความเป็นวงพื้นบ้านจินตนาการฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง แต่บรรเลงออกมาได้แบบนุ่มนวล กีตาร์ไล่โน้ตไล่สเกลคล้ายกับพิณ เมโลดี้ร้องประสานกับไลน์เบสฟังดูแตกต่างไม่ชินหูแบบในเพลงไหน ๆ ท่อนฮุกมีการร้องเอื้อนแอดลิบประสานทับมาในสไตล์โมทาวน์ แอบใส่เสียงดั๊บเข้ามาชวนหัวสั่นในท่อนโซโล่ ก่อนจะเขยิบออคเตฟขึ้นไปอีกขั้นขยับความม่วนไปอีกระดับตามชื่อเพลง แต่จริง ๆ เขาพูดถึงเรื่องไม่มีใครดีไปกว่าใคร ทุกคนก็เท่า ๆ กันหมดนั่นแหละ 

Episode 5: เปล่าเลย 

เพลงนี้เคยถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิ้ลเปิดน่านฟ้ากระชับมิตรไทย-ญี่ปุ่น เป็นเพลงที่วงได้ร่วมงานกับ Kaoru Hashimoto จาก Helsinki Lambda Club โดยเจ้าตัวมาร้องท่อนภาษาญี่ปุ่นให้ ความเท่คือเมโลดี้อิทธิพลหมอลำติดหูสุด ๆ ดนตรีได้ความร็อกกับกีตาร์กรูฟไซเคเดลิก แทรกลูกเล่นเร็กเก้ดั๊บเข้ามาแบบจุก ๆ ในภายหลังก็มีการร่วมงานด้วยกันอีกหนึ่งเพลงปล่อยออกมาในอัลบั้มของอีกวง

Episode 6: KINJAI

ชื่อเพลงดูจะเป็นงานซึ้ง ๆ ความหมายอบอุ่น แต่กลับกลายเป็นเพลงสุดดาร์กที่พูดถึงความอีโก้และเห็นแก่ตัวของตัวเอง หลงลืมความรู้สึกหรือความเป็นไปของคนรอบตัว คำว่า ‘กินใจ’ ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงประทับใจ แต่คือเรื่องราวความทุกข์ข้างในได้กัดกินใจของเขา ดนตรีได้มู้ดอารมณ์บอสซาโนวา sopisti-pop สมูธแจ๊สหรูแพง เหมาะจะฟังชิล ๆ จิบเบียร์เย็น ๆ ชมพระอาทิตย์ตกริมหาด แต่ไม่รู้จะเพลินไหมนะเพราะเนื้อหาดาร์กจัด

Episode 7: HATSUDAI

เพลงบรรเลงที่เก็บเกี่ยวความประทับใจจากการได้ไปทัวร์ญี่ปุ่นและได้พำนักในย่านเงียบ ๆ สบาย ๆ อบอุ่นหัวใจอย่างฮัทสึได จนฝอดถึงกับเอามาเขียนเพลงบันทึกเหตุการณ์นั้นไว้เป็นเพลงไซเคเดลิกเท่ ๆ กีตาร์ยังคงลวดลายหมอลำอินฟลูเอนซ์ไว้อย่างเหนียวแน่น ริธึมเซสชันกลองเบสหนุบหนับชวนโยก เชื่อว่ากล้ามเนื้อคอไก่ของครูไก่แก้บน่าจะเกิดการอักเสบได้ในเพลงนี้ โดยเฉพาะกับช่วงนาทีที่ 2.30 

Episode 8: LOUD

เมโลดี้สว่างความหมายน่ารักทำเอาเรายิ้มออกไปด้วย ถ้าอธิบายง่าย ๆ เนื้อหามันก็ฟีลแบบ ‘อยากร้องดังดัง’ ของ ปาล์มมี เราเสียงดังเพราะเรามีความสุขไง แล้วดนตรีในเพลงนี้ก็สดใสชุบชูใจมาก ซาวด์กีตาร์แฮปปี้สมกับเนื้อเพลง โน้ตที่เล่นก็สุดจะแพรวพราว ไลน์เบสชวนเด้ง กลองก็บิลด์อารมณ์ให้ลุกขึ้นมาเต้นได้จริง ๆ นะ แต่ช่วงท้ายเพลงก็มีเซอร์ไพรส์ดึงหน่วงทำเอาจับทางไม่ถูก ยกให้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ชอบในชุดนี้กันเลย

Episode 9: WARNYA

จังหวะยังกระฉับกระเฉงอยู่ แต่มู้ดหม่นลงมากว่าเพลงที่แล้ว ตอนแรกก็สงสัยว่าชื่อเพลงอ่านว่าอะไร แต่พอฟังเนื้อเพลงไปแล้วก็เก็ต ฟีลแบบ ‘เตือนแล้วนะ’ ถ้ายังจะทำอีกแล้วมานั่งเสียใจก็ช่วยไม่ได้นะ ดนตรีเท่แล้วส่วนตัวรู้สึกว่า น้ำเสียงในโน้ตที่เล่นออกมามันสอดคล้องกับเนื้อหาที่เพลงนี้กำลังพูดถึง แต่ท้ายเพลงโซโล่ด้วยลูกฟังก์ชั้นครู ดิ้นกันยาว ๆ กับลิกกีตาร์จั๊กจี้ earworm อร่อยหู

Episode 10: TAI TAI 

เพลงกระฉับกระเฉงดูและได้กลิ่นอายป๊อปสุดในอัลบั้ม แต่ดนตรียังเข้มข้นเหมือนเดิมแบบที่ยกให้เป็นอีกเพลงที่ชอบ บวกกับความสนุกของมิวสิกวิดิโอแรงบันดาลใจจากหนังกำลังภายใน จำพวกฝึกวิชากับอาจารย์แล้วไปสู้กับคู่อริอย่าง โม่ง นิ้วนรก ที่จับตัวคนรักของเขาไป แต่ที่ดูแล้วต้องขำท้องแข็งเพราะสมาชิกวงเขามาแสดงกัน ทั้ง หมอ รับบทเป็น ‘หมอ นิ้วมหัศจัญไร’ ฝอด เป็น ‘จารย์ฟอร์ด นิ้วเทวดา’ และเจมส์ เป็น ‘เจมส์ มือกลองมือหนึ่ง อีกมือนึงกินหนม’ (โคตรดี ใครคิดชื่อฟะ) แล้วยังได้ บีม FEVER มาร่วมแสดง เพลงว่าสนุกแล้ว MV ก็สนุกไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นมุขวลีฮิตที่ใส่เข้ามาแบบไม่ยั้ง ท่าวิ่งของหมอที่นึกไปถึงนารูโตะ หรือสมาชิกวงที่แชร์เพลงมาพร้อมแคปชันปั่นกันเองในโซเชียลส่วนตัวว่านี่คือ Scott Pilgrim VS the World ในแบบพวกเขา 

Episode 11: SILENCE 

โยกไปกับเพลงสุดท้ายในจังหวะจะโคนได้บีตแบบเร็กเก้ ผสมกับการร้องที่ออกไปในโซน ๆ โซล กับเบสกรูฟหนึบและกีตาร์ที่ยุกยิกไม่แพ้กัน โซโล่ก็ขยี้ให้สมกับท่อนที่บอกว่า ความเงียบมันช่างทรมาน แล้วก็มีลูกเล่นเพอร์คัสชันน่ารัก ๆ แทรกมา ก่อนจะอยู่ดี ๆ ตัดจบ แล้วยังล้อไปกับความงงของเราที่เอ้า เพลงจบแล้วหรอ ด้วยการสวนร้องขึ้นมาว่า ขอโทษทีที่เงียบไป ที่เงียบไปเพราะรู้สึกเหงา เออ เข้าใจเล่น แล้วท้ายเพลงก็ใส่เลเยอร์ซาวด์สุดวายป่วงเข้ามาแบบเราเดาทางไม่ออกเลย แพรวพราวจริง ๆ วงนี้

Prologue 

จบลงไปแล้วกับทั้ง 11 เพลงที่ฟังได้ยาว ๆ แล้วสนุกจุใจมาก เพราะพวกเขาได้เปิดโลกดนตรีหลากหลายแนว เอามาผูกรวมกันในสไตล์ฝอดตรีโอ้ เชื่อว่าแบบนี้ครูก๋ายไก่ได้ยิน จะต้องโก่งคอขันและโยกจนคอเคล็ดเป็นแน่

FORD TRIO – LET THEM KIDS SEE

รับฟัง ‘LET THEM KIDS SEE’ จาก FORD TRIO ได้ ที่นี่ https://bfan.link/let-them-kids-see 

+ posts

อิ๊ก นักเขียนสายดนตรีที่เกือบจะต้องวางมือ แต่คงหนีไม่พ้นเพราะยังอยากพูดถึงวงและเพลงดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy